
เทคนิคการใช้ “บอลลูนรักษากระดูกยุบ” (Balloon Kyphoplasty)
การใช้บอลลูนเล็กๆสอดเข้าไปในกระดูกสันหลัง ปล้องที่ยุบตัว และใช้แรงดัน ดันให้กระดูกสันหลังปล้องนั้นหายยุบตัวก่อน หลังจากนั้นจึงถอนบอลลูนออกและค่อยฉีดซีเมนต์เข้าไปในโพรงกระดูกที่บอลลูนสร้างขึ้นจนเต็ม โดยมีข้อดีที่ชัดเจน ไม่ต้องผ่าตัด

ทั่วโลกมีคนที่มีอัตราเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกบาง ถึง 100 ล้านคนครับ เฉพาะที่ประเทศสหรัฐอเมริกา มีคนที่มีอัตราเสี่ยงเป็นโรคนี้ 44 ล้านคน (2002) เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ถึง 4 เท่า และมากกว่าครึ่งอายุมากว่า 55 ปี ใช้งบประมาณในการรักษามูลค่ามากถึง 20 Billion Dollarsต่อปี ซึ่งไม่นาเชื่อว่า มีมูลค่าในการใช้จ่ายรักษาโรค มากกว่าโรคหัวใจเสียอีกครับ (มูลค่าในการรักษา = ค่าใช้จ่ายจริงจากโรงพยาบาลที่รักษา+ ค่าความเสียหายจากจำนวนวันที่ไม่สามารถทำงานได้)
ในแต่ละปีโรคนี้ก็ทำให้ชาวอเมริกันมีกระดูกหัก มากถึง 1.5 ล้านคนต่อปี โดยเป็นกระดูกสันหลังหักมากที่สุด ถึง 700,000 คนต่อปี (ข้อมูลจาก National Osteoporosis Foundation) ถ้ามีกระดูกสันหลังหักที่ช่วงบนบริเวณช่องอกก็จะถูกกระทบกระเทือน ปริมาตรช่องว่างของปอดที่ใช้ในการหายใจจะหายไปถึง 9 % แน่นอนว่าจะต้องกระทบกระเทือนต่อการหายใจในผู้ป่วยสูงอายุที่ไม่ค่อยมีแรงอยู่แล้วครับ
คนที่กระดูกบาง เพียงแค่ล้มก้นกระแทกพื้นเบาๆ นั่งในรกกระเทือนหน่อย หรือเอี้ยวตัวผิดท่า ก็อาจจะทำให้กระดูกสันหลังหักแบบยุบตัวโดยไม่รู้ตัวครับ และ ผ่านไปวันสองวัน หรือเป็นอาทิตย์จึงจะเริ่มมีอาการมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
อาการที่เกิดขึ้นก็จะเริ่มตั้งแต่ จะมีอาการปวดหลัง ปวดบั้นเอว รูปร่างของกระดูกสันหลังจมีความผิดปกติ เช่น ความสูงของปล้องนั้นจะลดลง รูปร่างกระดูกสันหลังจะโก่งมากขึ้น การใช้ชีวิตตามปกติจะแย่ลง ลุกขึ้นจากเตียงลำบาก เอี้ยวตัวไม่ได้ เพราะจะปวดมาก เดินไกลหรือเดินนานๆไม่ได้ คุณภาพชีวิตที่ดีโดยรวมจะลดลง แน่นอนว่าใช้ร่างกายทำงานได้น้อยลง ความหนาแน่นและความแข็งแรงของกระดูกจะลดลงเนื่องจากการใช้งานที่ลดลง มีผลทำให้กระดูกสันหลังปล้องอื่นๆหักตามมาอีก อาจจะมีโรคปอดแทรกซ้อนขึ้นมา เพราะการทำงานของปอดที่ลดลงไป และสุกท้ายก็คือ อัตราการเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น23-43%
การรักษาโรคกระดูกสันหลังยุบตัวมี 4 ทางเลือกครับ
1.การรักษาแบบประคับประคอง

การให้นอนพัก ทานยาแก้ปวดแก้อักเสบ ใส่เสื้อประคองหลัง หลีกเลี่ยงการกระเทือนหลัง รอให้กระดูกติดเอง แต่เราต้องยอมรับสภาพรูปร่าง กระดูกสันหลังที่ยุบตัวลงไป หรือรูปร่างหลังที่โก่งไป ตัวที่เตี้ยลงว่า ไม่สามารถทำให้ฟื้นคืนใกล้เคียงของเก่าได้ โดยวิธีนี้ มีข้อเสียตรงผู้ป่วยจะมีอาการปวดกระดูกสันหลังนาน(3-4 เดือน) การเสียคุณภาพการใช้ชีวิตจะนานกว่าจนกว่ากระดูกสันหลังจะติดกัน และข้อที่สำคัญมากที่ทางการแพทย์ค้นพบมา ก็คือการรักษาแบบนี้ อาจจะทำให้มีโอกาสเกิดกระดูก สันหลังหักปล้องอื่นๆตามมาอีกไม่รู้จบ เหมือนตึกสูงที่ชั้นกลางๆ ที่เมื่อพังทรุดตัวเอียงลงไปแล้ว น้ำหนักที่กดลงชั้นอื่นๆจะเสียสมดุล และมีแรงกดมากขื้นข้างใดข้างหนึ่ง จนชั้นอื่นๆก็จะทรุดตัวตามลงมาครับ


4.การใช้บอลลูนดันกระดูกสันหลังปล้องที่หักยุบตัวก่อนฉีดซีเมนต์


การใช้บอลลูนเล็กๆสอดเข้าไปในกระดูกสันหลัง ปล้องที่ยุบตัว และใช้แรงดัน ดันให้กระดูกสันหลังปล้องนั้นหายยุบตัวก่อน หลังจากนั้นจึงถอนบอลลูนออกและค่อยฉีดซีเมนต์เข้าไปในโพรงกระดูกที่บอลลูนสร้างขึ้นจนเต็ม โดยมีข้อดีที่ชัดเจน ไม่ต้องผ่าตัด

เพียงใช้เข็มเล็กๆสอดนำและทำทางเข้าก่อนจะสอดบอลลูนที่ยังไม่พองตัวเข้าไป ผลของการรักษา ทำให้ลดอาการปวดจากการดูกที่หัก ไม่ทำให้กระดูกสันหลังปล้องที่หักเสียการเคลื่อนไหวเหมือนการผ่าตัดดามกระดูกด้วยโลหะ สร้างความมั่นคงให้กระดูกสันหลัง แก้ไขรูปร่างที่ยุบตัวและโก่งให้ดีขึ้น และโอกาสรั่วของซีเมนต์ออกนอกกระดูกสันหลังน้อยกว่าการฉีดซีเมนต์อย่างเดียว

ข้อดีของวิธีนี้ คือ คนไข้จะหายปวดเร็วมาก บางคนแค่เพียงข้ามคืนหลังจากทำ ก็สามารถลุกขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวันได้โดยไม่ปวดมากเหมือนเดิมที่ต้องนอนทรมานนิ่งๆ ไม่ต้องมีแผลผ่าตัดที่ยาว ไม่ต้องเสียเลือดมากมากเหมือนการผ่าตัด และการฟื้นตัวเร็วมากทั้งที่ตอนหักใหม่ต้องนอนบนรถเข็นอย่างเดียวเพราะจะปวดหลังมาก
ข้อเสียวิธีนี้ คือ มีราคาแพงในส่วนของเครื่องมือและบอลลูนใช้ได้แค่ครั้งเดียว และต้องใช้Flu X rayตลอดเวลาที่ทำอยู่ (Flu X ray คือX ray ที่เห็นภาพบนจอทีวีทันที่ในขณะทำ) ซึ่งเครื่องมือนี้ไม่ได้มีในทุกโรงพยาบาล บวกกับต้องทำในมือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้เท่านั้นครับ
New Technique in Kyphon Kyophoplasty จากการสังเกตุและประสบการณ์โดยส่วนตัวแล้วพบว่าเทคนิคที่จะทำให้การรักษาด้วยวิธีนี้ให้ได้ผลดีขึ้นในการรักษา โรคกระดูกสันหลังหักแบบยุบตัวนั้น จะต้องประกอบสิ่งต่างๆเหล่านี้ครับ




อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าวิธีนี้จะปลอดภัยมากในการรักษาระดับหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ไม่มีวิธีใด วิธีหนึ่งที่เหมาะสมกับผู้ป่วยทุกรายครับ จำเป็นต้องปรึกษากับแพทย์ประจำตัวของท่านก่อนครับ และถ้าเป็นไปได้ ควรจะหาทางป้องกันทำให้กระดูกเราแข็งแรงดีกว่าครับ


กระดูกสันหลังยุบ หัก ย่น โก่ง ต้องทำอย่างไร ?
คนที่มีปัญหา เรื่อง กระดูกสันหลังยุบ ลงมามาก จนหลังโก่งอย่างเห็นได้ชัด มีอาการปวดหลังมาก อาจต้องหาทางรักษาแก้ไข หรือทำการผ่าตัด
เวลาคนเราหกล้ม เอาก้นกระเเทกกับพื้นอย่างรุนเเรง โดยทั่วไปทั้งหมอ เเละผู้ป่วยมักจะไปเพ่งความสนใจอยู่ที่กระดูกก้นกบ ว่ามีการหักหรือไม่ เเต่ในความเป็นจริง เรากลับพบว่า มีการละเลยกระดูกอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมี ความสำคัญมากกว่า เพราะถ้าไม่ดูแลรักษาให้ถูกต้อง ตั้งแต่ครั้งแรก มักจะส่งผลเสียทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน มากมาย บางคนอาจจะถึงขั้นต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไข เสียเวลา เสียเงินทองในการรักษามากกว่าเดิมครับ
 
 

“ปวดหลัง”ผ่าตัดทางเลือกสุดท้าย ตอนที่ 1
“ปวดหลัง” ผ่าตัดทางเลือกสุดท้าย ตอนที่ 1
มีถึง 12 วิธี หรือ 12แนวทางการปฏิบัติตัวครับ ที่จะป้องกันหรือหลีกเลี่ยง ไม่ให้โรคปวดหลังนั้นลุกลามไปทำร้ายเส้นประสาทหลัง อันเป็นต้นเหตุที่สำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยต้องถูกผ่าตัดหลังหมดโอกาสที่จะรักษาด้วยวิธีอื่น เป็น 12 วิธี ที่ได้มาจากการรวบรวมข้อมูลของผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลัง แต่ปฏิบัตตัวไม่ถูกต้องเพราะความเข้าใจผิด ดื้อ ทำตามเพื่อนผู้หวังดี แต่ไม่มีความรู้ และไม่ทำตามคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษา


จากสถิติทางการแพทย์เราพบว่า ในช่วงชีวิตของคนทุกคน ตั้งแต่เด็กจนกระทั้งแก่เฒ่า จะมีโอกาสปวดหลังชนิดรุนแรงอย่างน้อยก็หนี่งครั้งในชีวิตครับ แต่ก็เป็นหนึ่งครั้งที่มีความสำคัญมาก เพราะถ้าเราดูแล รักษาไม่ถูกวิธีตั้งแต่ครั้งแรก โอกาสที่โรคปวดหลังจะเรื้อรัง และลุกลามก็จะมีสูงขึ้น จนกระทั่งรักษาด้วยยาไม่หาย และ สุดท้ายก็ต้องถูกผ่าตัดหลัง
 อาการปวดหลังชนิดรุนแรงนั้น จะมีลักษณะเฉพาะ ที่เวลาเกิดขึ้นแล้ว ตัวจะแข็ง หลังจะแข็ง ไม่สามารถเดิน หรือยืนได้นานๆ เวลาเผลอเอี้ยวตัว หรือก้มหลัง เพียงเล็กน้อย ก็จะเสียวแปล้บ เจ็บ หรือปวดอย่างรุนแรง ต้องเดินตัวแข็งเหมือนหุ่นยนต์ บางคน อาจจะมีอาการเจ็บเสียวลงไปถึงขา เหมือนใครมาฉีกกล้ามเนื้อ มีอาการชาที่ต้นขา หรือน่องตามมาด้วย
 
  กระดูกสันหลังของคนเราก็เหมือนกับเสากระโดงของเรือใบ โดยที่มีเชือกขึงตึงอยู่ทั้งสองข้าง เส้นเขือกที่ขึงตึงอยู่ข้างเสากระโดงเรือก็คือกล้ามเนื้อที่ประคองกระดูกสันหลัง ต้นเหตุที่เกิด มักจะเกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อหลังมัดนี้อย่างรุนแรง โดยจะเป็นกับกล้ามเนื้อหลังชั้นใน ที่มีหน้าที่คอยประคับประคองกระดูกสันหลัง (Paraspinal Muscles) อยู่สองข้าง กล้ามเนื้อมัดนี้มีความสำคัญมากครับ เพราะเนื่องจากการที่กล้ามเนื้อมัดนี้อยู่ใกล้ชิดกระดูกสันหลัง จึงมีหน้าที่คอยป้องแรงกระแทกที่จะเกิดขึ้นที่หมอนรองกระดูกสันหลัง แต่คนบางคนปล่อยปละละเลย ไม่ได้หมั่นดูแลกล้ามเนื้อมัดนี้ให้แข็งแรงอยู่อย่างสม่ำเสมอ ทำให้เกิดความอ่อนแอของกล้ามเนื้อมัดนี้ (Paraspinal Muscles) เมื่อมีแรงมากระแทกที่หลังมาก และผิดจังหวะ เช่น ก้มหลังยกของหนัก ไอ หรือจามอย่างรุนแรง เอี้ยวตัวผิดจังหวะ โอกาสที่กล้ามเนื้อมัดนี้จะบาดเจ็บ และมีการอักเสบก็จะมีสูงขึ้น บางครั้งก็รุนแรงมากจนกระทั่งผลักให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนออกมาทับเส้นประสาทที่อยู่ข้างเคียง เกิดอาการปวดหลังชนิดที่มีอาการของการอักเสบของเส้นประสาทร่วมด้วย
อาการปวดหลังที่มีต้นเหตุที่เกิดจากเส้นประสาทที่มาจากกระดูกสันหลังและลงมาเลี้ยงขานั้น จะมีลักษณะที่แตกต่างจากการอักเสบของกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว ดังนี้ครับ

- อาการปวด โดยที่ความรู้สึกปวดนั้นไม่ได้อยู่ที่หลังอย่างเดียว แต่จะลามมาที่แก้มก้น ต้นขา หรือน่อง
 ข้างใดข้างหนึ่ง และมักจะไม่ย้ายข้าง ปวดขาข้างใด ก็จะปวดข้างนั้นตลอด
- อาการชา โดยจะมีอาการชา สองแบบครับ แบบแรกจะมีความรูสึกชาชนิดที่ไวต่อความรู้สึกเร็วขึ้น Hypersensitive Feeling) ลักษณะที่ชาจะคล้ายกับที่เรานั่งทับขาจนเกิดอาการเหน็บชา เหมือนเข็มตำหรือมดไต่ที่ขา เมื่อเป็นมากขึ้น ก็จะชาแบบไวต่อความรู้สึกน้อยลง (Hyposensitive Feeling) ความรู้สึกที่
 ผิวหนังจะเหมือนกับว่า ชั้นผิวหนังจะหนาขึ้น เมื่อมีเข็มตำ จะไม่ค่อยรู้สึกถึงความแหลม จะมีอาการชาเป็นหย่อมๆ ไม่ใช่ทั้งขา เช่น ชาที่ต้นขาเป็นวงกว้างเท่าลูกมะนาว และอาจจะลุกลามขยายเป็นวงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
- อาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อขา เท้าเดินขาอาจจะกะเผลก เดินแล้วเข่า หรือ ข้อเท้าทรุด ล้มเองบ่อยๆ เดินสะดุดปลายเท้าง่าย ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่า กล้ามเนื้อของขาข้างใดข้างหนึ่งอาจจะมีขนาดลีบ เล็กลงกว่าอีกข้าง โดยที่ระยะนี้เป็นระยะที่ผู้ป่วย ปล่อยให้โรคนี้เรื้อรัง จนลุกลาม ทำร้ายเซลประสาทมากเกินไป กระแสประสาทที่ส่งลงมาเลี้ยงและกระตุ้นกล้ามเนื้อขาน้อยลงติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ กล้ามเนื้อเมื่อไม่สามารถบีบ รัดหดตัว หรือเคลื่อนไหว ขนาดของ
 เส้นใยกล้ามเนื้อจึงลดลงครับ
- อาการสุดท้าย คือ การสูญเสียระบบประสาทอัตโนมัติที่เส้นประสาทหลังนั้นควบคุมอยู่ เช่น การกลั้นปัสสาวะ หรืออุจจาระไม่ได้ เหงื่อตามผิวหนังออกน้อยลง ถ้าเราปล่อยให้เป็นถึงระยะนี้โอกาสที่จะรักษา แล้วจะหายกลับมาปกติเหมือนเก่าก็จะมีน้อยมากครับ


คุณเริ่มเป็น “ข้อเข่าเสื่อม” แล้วหรือยัง ?
โรค “ข้อเข่าเสื่อม” เป็นโรคที่มีการทำร้ายผิวกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อเกิดการสึกหรอ ยุบตัวลงมาของข้อเข่า มีกระดูกงอกที่เห็นได้ชัดจาก X-ray มีคนหลายคนกระหยิ่มยิ้มย่อง คิดว่าถ้าอายุไม่ถึง 60 ปี ไม่มีทางที่จะเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม ความคิดนี้อาจจะถูกในสมัยก่อน ที่เรามีการใช้ข้อเข่าทำงานน้อย สมัยก่อนที่เรามีการออกเเรง กล้ามเนื้อหัวเข่าอย่างสม่ำเสมอ เเต่ถ้าเป็นในยุคปัจจุบัน อาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมดครับ
มีการพบคนเป็นข้อเข่าเสื่อมในอายุที่น้อยลงเรื่อย ๆ ครับ เเน่นอนยิ่งอายุเยอะ ยิ่งมีอัตราการเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมมากขึ้น เเต่ถ้าเราไม่ใส่ใจดูเเลจริงจัง เราอาจจะเป็นโรคนี้โดยไม่รู้ตัวครับ


การดูเเลรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมเเนวใหม่ ตอนที่ 1
หนึ่งในโรคที่คนไทยเป็นกันมาก เรียกได้ว่า ในเกือบทุกครอบครัวจะต้องมีสมาชิกอย่างน้อย 1 คนที่มีอาการจากโรคนี้ไม่มากก็น้อย คือ โรคข้อเข่าเสื่อม มาดูวิธีป้องกัน รักษาโรคข้อเข่าเสื่อม ว่ามีวิธีใดบ้าง
หลังผ่านช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ประชากรมีความสุขที่สงครามยุติเสียที เริ่มที่จะผลิตลูกหลานออกมามากขึ้น เราเรียกช่วงเวลานั้นว่า Baby Boom เเละเรียกประชากรที่เกิดในช่วงนี้ว่า Baby Boomer จนกระทั่งราว ปี พ.ศ. 2480-2500 คนทั่วโลกเริ่มตระหนักว่า จำเป็นต้องควบคุมการผลิต จึงมีการคิดค้นถุงยางอนามัย เเละวิธีคุมกำเนิดใหม่ ๆ ตามมา


เข่าโก่ง หรือ ขาโก่ง และ เข่ากาง หรือ ขากาง ในเด็ก ตอนที่ 1
การใส่รองเท้าที่ปรับโครงสร้างได้ เป็นการ รักษาเข่าโก่งในเด็ก วิธีใหม่ โดยการทำรองเท้า หรือพื้นรองเท้าปรับโครงสร้างทั้งระนาบ มุม และความยาวของขาเฉพาะกับเด็กคนนั้น สามารถทำตั้งแต่เด็กเริ่มหัดเดินเป็นต้นไป จนเข้าสู่วัยชรา


เข่าโก่ง หรือ ขาโก่ง และ เข่ากาง หรือ ขากาง ในเด็ก ตอนที่ 2
ปัญหาเด็กเข่าโก่งหรือขาโก่ง และ เข่ากางหรือขากางเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย ซึ่งมีทั้งที่โก่ง กางแบบธรรมชาติ สามารถหายโก่ง หายกางได้เอง โดยไม่ต้องรักษา รูปร่างเข่าจะกลับมาตรงเองเมื่ออายุมากขึ้น แต่ก็มีที่เข่าโก่ง หรือกางมากและเป็นถาวรจนกระทั่งเข้าสู่วัยรุ่น ก่อก็ให้เกิดความไม่สวยงาม
อย่างไรเรียก ขาโก่ง เข่าโก่ง ขากาง หรือ เข่ากาง
เข่าโก่ง หรือ ขาโก่ง หมายถึง เวลาเรายืนตรง รูปร่างของขาสองข้างจะมีลักษณะโก่งออกเป็นรูปตัวโอ (O) โดยช่องว่างของเข่าสองข้างจะมากกว่า ช่องว่างของข้อเท้า โดยลูกบอลลูกเล็ก ๆ สามารถวิ่งรอดระหว่างขาได้เลยครับ

เข่ากาง หรือ ขากาง หมายถึง เวลาเรายืนตรง รูปร่างของขาสองข้างจะมีลักษณะเข่าชนกัน โดยเมื่อพิจารณาดูรูปร่างทั้งขาจะเหมือนตัว เอ็กซ์ (X)
รูปร่างเข่าที่ผิดปกติของเด็กจะมีผลเสียไหม ?

ปัญหาเด็กเข่าโก่งหรือขาโก่ง และ เข่ากาง หรือ ขากางเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย ซึ่งมีทั้งที่โก่ง กางแบบธรรมชาติ สามารถหายโก่ง หายกางได้เอง โดยไม่ต้องรักษา รูปร่างเข่าจะกลับมาตรงเองเมื่ออายุมากขึ้น แต่ก็มีที่เข่าโก่ง หรือกางมากและเป็นถาวรจนกระทั่งเข้าสู่วัยรุ่น ก่อก็ให้เกิดความไม่สวยงาม ใส่กางเกงขาสั้น กระโปรงสั้น หรือ กางเกงรัดรูปก็จะเห็นรูปร่างที่ผิดปกติได้ชัด ถ้ามีปัจจัยลบเสริมในด้านอื่น ๆ เช่น น้ำหนักเกิน กล้ามเนื้อหัวเข่าอ่อนแอ ก็จะทำให้ปวดเข่าง่าย อาจทำให้มีเข่าเสื่อมก่อนวัยอันควร และเร็วกว่าปกติ การดูแลและรักษาเข่าโก่งหรือ ขาโก่ง และ เข่ากาง หรือ ขากาง ตั้งแต่วัยเด็ก จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากต่อการเจริญเติบโตและรูปร่างของขาหรือเข่าครับ
การเปลี่ยนแปลงของรูปร่างของขา หรือเข่าสองข้างในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต

รูปร่างของขา หรือเข่าของเด็กนั้นไม่คงที่ตั้งแต่เด็กเกิดมาครับ จากการศึกษา เราพบว่า เด็กแรกเกิดขาหรือเข่าจะมีรูปร่างที่โก่ง ไม่ตรงก่อนครับ โดยเด็กแรกคลอดจะมีเข่าโก่งมากที่สุด มีมุมระหว่างกระดูกต้นขา และหน้าแข้ง (Tibiofemoral Angle) ที่เราเรียกว่า มุมเข่าโก่งในบางคนมากถึง 15 องศา แต่ข่าวดีก็คือ มุมเข่าโก่งนี้จะค่อย ๆ ลดลงเมื่อเด็กค่อย ๆ โตขึ้น
จนเมื่อเด็กอายุราว 2 ปี รูปร่างของขา หรือ เข่าก็จะดูตรงเป็นธรรมชาติ แต่เดี๋ยวก่อนครับ รูปร่างของขาเด็กยังไม่หยุดเปลี่ยนแปลงแค่นั้น เพราะหลังจาก 2 ขวบ ขาหรือเข่าของเด็กก็จะเริ่มกางขึ้น โดยจะค่อย ๆ กางออกมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเต็มที่เมื่อเด็กมีอายุราว 3 ขวบ โดยบางคนอาจจะมีมุมเข่ากางมากเท่ากับมุมเข่าโก่งตอนแรกคลอดก็ได้ครับคือ ที่ประมาณ 12-13 องศา
สุดท้ายเมื่อเด็กโตขึ้นอีกหน่อย รูปร่างของขา หรือเข่าที่กางนี้จะค่อย ๆ ลดลง กางน้อยลงเหลือไม่กี่องศาในช่วง 6-7 ปี จนมองเห็นเหมือนขาเด็กหรือเข่าเด็กจะมีรูปร่างตรงอีกครั้งหนึ่ง และขาหรือเข่าจะมีรูปร่างกางเล็กน้อยคงที่แบบนั้นจนกระทั่งเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ก่อนจะเริ่มมีเข่าโก่งอีกที ก็อาจจะมีอายุมากถึง 70 ปีไปแล้วเนื่องจากเป็นข้อเข่าเสื่อมครับ

พ่อแม่เด็ก ตลอดจนญาติผู้ใหญ่ที่มาช่วยเลี้ยงเด็กแทนพ่อแม่ยุคใหม่บางคนที่ไม่มีเวลา เมื่อเห็นลูกเข่าโก่งหรือขาโก่ง และ ขากางหรือเข่ากาง โดยที่ไม่ทราบพัฒนาการจากที่อธิบายดังกล่าวก็อาจจะมีความกังวล ว่า บุตรหลานของตัวเองที่มีรูปร่างขาที่งอผิดปกตินี้ถาวร ไม่ยอมหาย และจะเป็นมากขึ้น
ผมขอแนะนำให้จับหลักง่าย ๆ ตรงนี้ครับ ดูที่อายุเด็กก่อนนะครับ ถ้าไม่ถึง 2 ปี รูปร่างเข่าที่โก่งนั้นอาจจะเป็นรูปร่างที่ปกติได้ แต่ถ้าเด็ก อายุเกิน 2 ปี หรือใกล้ 2 ปี ยังดูเข่าโก่งมากอยู่ ก็ต้องรีบไปพบแพทย์เป็นการด่วนครับ

ถ้าอายุเกิน 2-3 ปี เด็กมีรูปร่างขาหรือเข่าที่กางออกมาก ๆ ก็ยังไม่ต้องกังวล รออีกปี สองปี รูปร่างขาก็อาจจะกลับมาตรงขึ้น กางน้อยลงแล้วรูปร่างขาก็จะกลับมาปกติได้
ไม่แน่ใจว่าลูกตัวเองรูปร่างขาปกติหรือไม่?
แต่สำหรับคนที่ไม่แน่ใจก็มีวิธีง่ายกว่านั้นครับ คือ พาเด็กไปพบคุณหมอกระดูกด้านนี้ และก็ต้องขอร้องไว้อย่างหนึ่งครับ พยายามอย่าไปขู่เด็กเวลาที่เด็กดื้อนะครับ ว่าเดี๋ยวให้หมอฉีดยา เพราะเด็กจะกลัวหมอมาก จนหมอตรวจเด็กไม่ได้ แตะต้องตัวไม่ได้เลย ซึ่งจะทำให้ได้ข้อมูลจากการตรวจน้อยลง
ทำไม ? รูปร่างของเด็กถึงมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

มีการอธิบายหลายทฤษฎีครับ เช่น ทฤษฎีของแรงกดที่ตัวสร้างความยาวกระดูกหน้าแข้ง ในเด็กแรกคลอดทุกคนจะมีเข่าโก่งก่อน พอเริ่มจะหัดเดินในช่วงแรกที่ลงน้ำหนักเดินนั้น รูปร่างของเข่าก็จะโค้งออกด้านนอก ยิ่งเวลาเดินก็จะเห็นชัดมากขึ้น เพราะเข่าข้างเดียวจะต้องรับน้ำหนักทั้งตัว ทำให้ฐานของฝ่าเท้าทั้งสองข้างจะแคบลงครับ การเดินของเด็กก็จะไม่มั่นคง ดังนั้นในเด็กที่เริ่มจะหัดเดินใหม่ จึงพยายามเดินกางขาให้ระยะห่างของฝ่าเท้ากว้าง ๆ นัยว่าจะทำให้ มั่นคงกว่า ไม่ล้มง่าย ส่งผลให้แรงกดที่จุดที่สร้างความยาวกระดูกของขาด้านข้างมากกว่าด้านใน ทำให้จุดที่การสร้างกระดูกเข่า และขาให้ยาวขึ้นด้านในที่ไม่ถูกกดมากมีความอิสระมากกว่าสามารถสร้างความยาวได้ดีกว่า แน่นอนครับ ย่อมส่งผลให้มีรูปร่างของเข่าและขากางออกมากขึ้นเรื่อย ๆ จนอายุ 2 ปี รูปร่างทั้งขาก็จะดูตรง และหลังจากอายุ 2 ปี การสร้างความยาวของจุดที่สร้างยังคงเป็นแบบนี้อยู่อีกสักระยะเวลาหนึ่ง จึงส่งผลให้เข่า และขาเด็กเริ่มเข่ากางมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงอายุ 4 ปี

จนการสร้างความยาวของจุดที่สร้างของสองฝั่งของเข่าสมดุลกัน ตลอดจนกล้ามเนื้อของขาที่ใช้ในการเดินพัฒนามากขึ้น รูปร่างเข่าที่กางก็จะค่อยลดลง และ หลังอายุ 6-7 ปีมุมของหัวเข่าก็จะมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก แต่พออายุ 25 ปี ถ้าดูแลสุขภาพเข่าไม่ดีพอ มนุษย์ก็จะมีเข่าโก่งเพิ่มขึ้นvและถ้าไม่ดูแลรักษาจนอายุมากขึ้น ก็อาจจะส่งผลทำให้มีเข่าโก่งก่อนวัย และมีอาการปวดเข่าง่าย เข่าเสื่อมง่ายได้ครับ

อีกทฤษฎีหนึ่ง เป็นเรื่องของแรงดึงของกล้ามเนื้อขาทั้งด้านในและด้านนอก เป็นทฤษฎีจากหมอกระดูกเด็กที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นอาจารย์ของผู้เขียนเอง โดยปัจจุบันท่านได้เกษียณตัวเองในการทำงานไปแล้ว (รองศาสตราจารย์ นพ.ไพรัช ประสงค์จีน) ท่านเชื่อในช่วงที่เด็กเริ่มหัดเดินใหม่ ๆ จะพยายามกางขาทั้งสองข้างให้ฐานของฝ่าเท้ากว้างขึ้นเพื่อความมั่นคง การทำแบบนั้นย่อมส่งผลทำให้กล้ามเนื้อที่ใช้ในการเดินด้านนอกออกแรงดึงกระดูกหัวเข่ามากกว่ากล้ามเนื้อขาและเข่าด้านใน ขณะที่เด็กกำลังยกขาออกก้าวเดิน และลงน้ำหนักเหยียบพื้นแต่ละข้าง จนทำให้เข่ากางออกมากขึ้นเรื่อย ๆ ครับ
พ่อแม่ของเด็ก ตลอดจนญาติผู้ใหญ่ที่มีความกังวล ว่า เด็กตัวน้อย ๆ จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข่าโก่งหรือไม่ก็อาจจะจำเป็นที่ต้องพาเด็กมาให้หมอตรวจครับ โดยคุณหมอก็ตรวจสอบอายุ มีการวัดมุมของหัวเข่า ดูการเดินของเด็ก และอาจตรวจอย่างอื่นเพิ่มเติม บางคนก็จำเป็นต้อง X-Ray เพื่อดูรูปร่างของส่วนที่สร้างความยาวกระดูก ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ โดยเฉพาะในเด็กที่มีอายุเกิน 2 ปีไปแล้วที่เข่ายังโก่งอยู่ และอาจจะต้องมีการนัดตรวจทุก 6 เดือน จนกว่าเด็กจะมีรูปร่างของเข่าที่ปกติตามเกณฑ์ของอายุครับ
ในบางรายที่เป็นโรคเข่าโก่งตั้งแต่เล็ก ๆ ซึ่งมักจะเป็นในเด็กบางเชื้อชาติ และน้ำหนักตัวมาก ๆ ก็จำเป็นต้องแก้ไขตั้งแต่เนิ่น ๆ ครับ อย่าไปรอนานเกินไป เพราะจะไม่ทันการณ์

RELATED ARTICLES
เข่าโก่ง หรือ ขาโก่ง และ เข่ากาง หรือ ขากาง ในเด็ก ตอนที่ 1
เข่าโก่ง หรือ ขาโก่ง และ เข่ากาง หรือ ขากาง ในเด็ก ตอนที่ 2

การผ่าตัดแก้ไข ขาโก่ง เข่าโก่ง เข่าเสื่อม ตอน 1
เมื่อพูดถึง ขาโก่ง เข่าโก่ง เข่าเสื่อม เข่าชิด หรือ เข่ารูปตัว X สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจก่อน คือ ข้อเสียของขาโก่ง เข่าโก่ง หรือ อาการเข่าที่ผิดปกติ เพราะหากปล่อยอาการขาโก่ง เข่าโก่ง ไว้นานวัน จะยิ่งรักษา แก้ไขได้ยาก โดย ข้อเสียของการมีขาโก่ง เข่าโก่ง มีดังนี้


การผ่าตัดแก้ไข ขาโก่ง เข่าโก่ง เข่าเสื่อม ตอน 2
การผ่าตัดแก้ไข ขาโก่ง เข่าโก่ง เข่าเสื่อม เข่าชิด หรือ เข่ารูปตัว X เราจะทราบได้อย่างไรว่า เมื่อไรที่ต้องเข้ารับการรักษา หรือ ผ่าตัดเข่า
เมื่อไหร่ต้อง ผ่าตัดเข่า ?
ส่วนข้อเข่าโก่งในคนอายุน้อยๆ (18-55ปี) ที่ถือว่าเป็นโรคที่ควรได้รับแก้ไขอย่างถูกต้อง และ ทันท่วงที จะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้ครับ
1. มีความโก่งของเข่าทั้งสองข้างไม่เท่ากัน
เข่าที่โก่งไม่เท่ากันทำให้ขายาวไม่เท่ากันครับ เวลาเดิน ก็จะสังเกตเห็นการเดินตัวโยกเยก รองเท้าที่ใส่จะสึกที่ส้นไม่เท่ากัน เมื่อเดินโยกเยกมาก ๆ เวลาที่ต้องเดินไกล ๆ หรือ ยืนนาน ๆ ก็มักจะมีอาการปวดหลังเรื้อรังตามมา โดยไม่คิดว่า มาจากเข่าที่โก่งไม่เท่ากัน


การผ่าตัดแก้ไข ขาโก่ง เข่าโก่ง เข่าเสื่อม ตอน 3
ผ่าตัดเข่า เพื่อรักษาอาการเข่าโก่ง ขาโก่ง ในปัจจุบัน มีหลายวิธี
“วิธีผ่าตัดแก้ไขเข่าโก่ง หรือ ขาโก่ง แบบต่าง ๆ”
การแก้ไขข้อเข่าโก่งให้กลับมาตรงเหมือนปกติ Varus Knee Correction
ปัจจุบันการแก้ไขข้อเข่าโก่ง ที่ได้รับการยอมรับในทางการแพทย์ว่าได้ผลจริง มี แค่ 3 วิธีนี้เท่านั้นครับ
1. การเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ทั้งแบบเปลี่ยนเต็มข้อ และ ครึ่งข้อ (Knee Arthroplasty)
วิธีการแก้เข่าโก่งแบบนี้ เหมาะสมในคนสูงอายุที่มีข้อเข่าเสื่อมขั้นสุดท้ายที่แม้จะรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ จนครบถ้วนแล้วก็ตาม (กรุณาดูบทความ เรื่องการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมแนวใหม่แบบต่าง ๆ ของ นพ.สมศักดิ์ เหล่าวัฒนา) แต่อาการปวดเข่าเรื้อรังก็ไม่ทุเลาลง มีแนวโน้มว่า จะเดินไม่ได้


การผ่าตัดแก้ไข ขาโก่ง เข่าโก่ง เข่าเสื่อม ตอน 4
“การผ่าตัดดัดเข่าด้วยเทคนิคใหม่” (MHTO)
การผ่าตัดแก้ไขเข่าโก่ง ด้วยโลหะภายนอกแบบใหม่ (Modified HTO with New Charnley Clamp) เป็นวิธีผ่าตัดแก้เข่าโก่ง HTO ยึดด้วยโลหะจากด้านนอก เหมือนวิธีที่สามครับ แต่มีการพัฒนาและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบางประการทำให้สามารถผ่าตัดในช่วงเวลาที่สั้นลงแผลผ่าตัดเล็กลง


การผ่าตัดแก้ไข ขาโก่ง เข่าโก่ง เข่าเสื่อม ตอน 5
การผ่าตัดดัดเข่าพร้อมกันสองข้างด้วยเทคนิคใหม่
ผู้ที่เข่าโก่งหลายท่านมีคำถามว่า สำหรับคนที่เข่าโก่งทั้งสองข้างตั้งแต่เด็กๆ จนเป็นผู้ใหญ่จะสามารถผ่าตัดแก้ไขทั้งสองข้างในคราวเดียวกันได้หรือไม่? และ จะมีข้อแตกต่างจากการผ่าตัดแก้ไขขาโก่ง? หรือเข่าโก่งทีละข้างอย่างไร?เเละข้อสำคัญเคยมีการผ่าตัดแก้ไขขาโก่ง และเข่าโก่งในคราวเดียวกันในประเทศไทยหรือไม่ ?


การผ่าตัดแก้ไขในคราวเดียวกันมีมานานแล้วครับแต่ในยุคสมัยก่อนนั้นมีการทำกันน้อยมากครับ เนื่องจากเทคนิค ตลอดจนเครื่องมือที่ใช้ก็ไม่ทันสมัยเท่าปัจจุบัน (ไม่มี X Ray Real time ที่สามารถวัดมุมอย่างแม่นยำ ตลอดจนเทคนิคใช้โลหะยึดด้านในตายตัว ไม่ใช่ Modified High tibia with Chanley Clamp techniqueที่มีโลหะยึดด้านนอก ทำให้ไม่สามารถแก้ไขมุมเมื่อเย็บแผลปิดแล้ว) ทำให้การผ่าตัดดัดเข่าให้ตรงได้มุมเข่าของขาทั้งสองข้างที่แตกต่างกันมากเกินไป




ข้อดีของ การผ่าตัดดัดเข่าพร้อมกันสองข้างด้วยเทคนิคใหม่ (MHTO)
การผ่าตัดดัดเข่าให้รูปร่างเข่าตรงขึ้นด้วยวิธี Modified High Tibial Osteotomy with Chanley Clamp นี้สามารถแก้ไข ขาที่โก่งสองข้างพร้อมกัน โดยมีข้อดีที่แตกต่างกันไป ดังนี้ครับ
1. การผ่าตัดแก้ไขขาโก่ง หรือเข่าโก่งสองข้างพร้อมกัน ฟื้นตัวเร็วกว่า (timing of recovery)
ในการผ่าตัดเเก้เข่าโก่ง หรือ ขาโก่งทีละข้างนั้น มักจะทำห่างกันประมาณสองถึงสามเดือนครับ ทำไมถึงต้องใช้เวลาถึงสองสามเดือนจึงจะสามารถกลับมารับการผ่าตัดแก้ไขอีกข้างได้ อธิบายได้ดังนี้ครับ
ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดแก้ไขเข่าโก่ง หลังการผ่าตัดจะสามารถงอเข่านั่งบนเก้าอี้และวางเท้าลงกับพื้นได้ในทันที เพราะการผ่าตัดชนิดนี้ไม่ได้ผ่าที่ข้อเข่าแต่ผ่ากระดูกใต้ข้อเข่าลงมา ข้อต่อเข่าที่เคลื่อนไหวจึงไม่ได้ถูกกระทบกระเทือน. สามารถงอและเหยียดเข่าได้เหมือนเดิม ก่อนผ่างอได้มากเท่าไหร่ หลังผ่าก็ยังเหมือนเดิมครับ อีกทั้งโลหะที่ยึดดามกระดูกด้านนอก(modified High Tibial Osteotomy with Charnley Clamp) มีความแข็งแรงมากพอที่เวลานั่งกระดูกตรงจุดที่ผ่าจะไม่กระทบกระเทือนหรือเคลื่อนไหว



ส่วนการผ่าตัดแก้เข่าโก่งสองข้ามในคราวเดียวกัน จะเสียเวลาในการฟื้นตัวน้อยกว่าหนึ่งเท่าครับ เพราะ กระดูกทั้งสองขาสามารถติดเชื่อมกันในคราวเดียวกัน ทำให้ได้เปรียบในเรื่องของเวลาในการกลับมาเดินหรือการฟืนตัวที่สั้นกว่าครับ
2. ข้อเเตกต่างในเรื่องการดูแลและการปฎิบัติตัวหลังผ่าตัด (The Difference of Caring)
หลังการผ่าตัดแก้ไขข้อเข่าโก่งทั้งสองข้างให้กลับมาตรงในคราวเดียวกัน ผู้ป่วยจะลงน้ำหนักเดินไม่ได้ชั่วคราว ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดจะต้องใช้รถเข็นเป็นเวลาสี่ถึงหกสัปดาห์โดยเฉลี่ย เหตุผลที่ผู้ป่วยไม่สามารถลงน้ำหนักเดินได้ทันที เพราะกระดูกขาทั้งสองข้างที่ได้รับผ่าตัดใหม่ๆยังไม่เชื่อมติดกัน จึงไม่แข็งแรงพอที่จะเดินลงน้ำหนักได้ ถึงแม้จะใช้ไม้เท้าช่วยก็ตาม ไม่เหมือนกับการผ่าตัดทีละข้างครับที่ยังคงมีขาข้างที่ดี ยังไม่ผ่ารับน้ำหนักตัวช่วยยันพื้นในการเดิน อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดสองข้างพร้อมก้น ยังคงนั่งแล้วงอเข่า เท้าวางบนพื้นได้ทั้งสองข้างได้ทันทีหฃังผ่าตัด เพราะมีโครงโลหะช่วยอยู่ เหมือนการผ่าตัดที่ละข้างครับ




ในบางคนที่ได้รับการผ่าตัดเเก้ไขข้อเข่าโก่งในคราวเดียวกัน อาจจะถอดโลหะออกไม่พร้อมกันนะครับเนื่องจากกระดูกที่ผ่าตัดเชื่อมกันสนิทไม่พร้อมกัน แต่เวลาก็ไม่ห่างกันมาก(ประมาณหนึ่งสัปดาห์)ครับ
3. ค่าใช้จ่าย การผ่าตัดแก้ไขข้อเข่าโก่งพร้อมกันสองข้าง (Cost)
ในการผ่าตัดแก้ไขข้อเข่าโก่งในคราวเดียวกันสองข้าง ค่าใช้จ่ายจะถูกกว่า ครับ เพราะการนอนพักรักษาตัวใช้เวลาเท่ากัน หรือ นานกว่าข้างเดียวกันไม่มาก (ปกติในการผ่าตัดแก้ไขเข่าโก่งข้างเดียวต้องนอนในโรงพยาบาลเป็นเวลา3-4วัน) อีกทั้งการผ่าตัดสองข้างพร้อมกันจะ ประหยัดเวลาที่ใช้ในห้องผ่าตัด และเครื่องมือที่ใช้ในการผ่าตัดด้วยครับ เนื่องจาก การคิดค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลเอกชนมักคิดชั่วโมงที่สองของการผ่าตัดถูกกว่าชั่วโมงแรก Set ผ่าตัดก็ใช้แค่Set เดียว ไม่ต้องเปดสองSets เมื่อมีการผ่าตัดทีละครัง



รูปร่าง
ตัวอย่างภาพผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดแก้ไขเข่าโก่งจาก การผ่าตัดแบบ MHTO ทั้งสองข้างพร้อมกัน


การผ่าตัดแก้ไขขาโก่ง เข่าโก่ง เข่าเสื่อม เข่าคด แบบ MHTO

ก่อน – หลัง การผ่าตัดแก้ไขขาโก่ง เข่าโก่ง เข่าเสื่อม เข่าคด แบบ MHTO

ก่อน – หลัง การผ่าตัดแก้ไขขาโก่ง เข่าโก่ง เข่าเสื่อม เข่าคด แบบ MHTO


หมายเหตุ : ภาพที่แสดงทั้งหมดเป็นภาพของผู้ป่วยของ นพ.สมศักดิ์ เหล่าวัฒนา

ตัวอย่างผู้ที่ผ่าตัดแก้ไขเข่าโก่งเข่าชิด
คุณรติรัตน์ ไพรัตน์ จาก ประเทศรัสเซีย ตอนที่ 1
คุณรติรัตน์ ไพรัตน์ จาก ประเทศรัสเซีย ตอนที่ 2
คุณณัชชาพัชร์ ปัญฎีกา
ตัวอย่างภาพผู้ที่ผ่าตัดแก้ไขเข่าโก่ง เข่าชิด
อัลบั้ม 1
อัลบั้ม 2
บทความที่เกี่ยวข้อง การผ่าตัดแก้ไข้ ขาโก่ง หรือ เข่าโก่ง (เข่าเสื่อม)
ตอนที่ 1 “ข้อเสีย”
ตอนที่ 2 “เมื่อไหร่ต้องผ่าตัดเข่า”
ตอนที่ 3 “วิธีผ่าตัดแก้ไขเข่าโก่ง หรือ ขาโก่ง แบบต่างๆ”
ตอนที่ 4 “การผ่าตัด ดัดเข่าด้วยเทคนิคใหม่”
ตอนที่ 5 “การผ่าตัดดัดเข่าพร้อมกันสองข้างด้วยเทคนิคใหม่”

โรคปล้องกระดูกสันหลังเคลื่อน หลุดออกจากกัน ตอนที่ 1
โรคปล้องกระดูกสันหลังเคลื่อน หลุดออกจากกัน (Spondylolisthesis) เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้อย่างไร หากจะอธิบาย คงเริ่มจาก อวัยวะต่าง ๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นหลังของคนเรา ก็เปรียบเหมือนส่วนต่างๆ ของเรือใบที่แล่นสู้แรงลม อยู่กลางท้องทะเล การที่หลังของคนเราตั้งตรงฝืนแรงโน้มถ่วงของโลกอยู่ได้ขณะที่เรามีการใช้งาน ก็เพราะมีกระดูกสันหลัง และกล้ามเนื้อที่แข็งแรง คอยประคองช่วยเหลือหลังอยู่ตลอดเวลา เปรียบไปก็เหมือน เสากระโดงเรือที่มีเชือกขึงตึงทั้งสองข้าง

โรคปล้อง กระดูกสันหลังเคลื่อน กดทับเส้นประสาท ตอน 2
การป้องกันไม่ให้เกิดภาวะ กระดูกสันหลังเคลื่อน เป็นเรื่องยากครับ เพราะส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้มีการตรวจเช็ก X- ray ที่หลังเเล้ว ก็จะไม่มีโอกาสรู้เลยว่า กระดูกหลังของคนไข้มีการเคลื่อนหลุดออกจากกันเเล้วหรือเปล่า ส่วนคนปกติทั่วไป จะต้องมีการ X- ray เพื่อเช็กกระดูกสันหลังทุกคนหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดครับ










