
นักกอล์ฟบาดเจ็บเป็นเรื่องปกติจริงหรือ?
นักกอล์ฟอาชีพ โปรแจ็คกี้ (อาภาสิรี จุลยา) อาการเจ็บเท้าเป็นประจำนั่งอยู่เฉยๆก็เจ็บ เธอคิดว่า การเป็นนักกีฬากอล์ฟต้องใช้การเดินเยอะใช้ร่างกายเยอะ เลยคิดว่าต้องหาวิธีรักษาดีกว่าปล่อยผ่านเพราะอายุยังน้อย เมื่อ X-Ray ดูถึงพบว่าสาเหตุที่แท้จริงเป็นเพราะ ขาสั้นยาวไม่เท่ากันจึงกระทบทั้งโครงสร้างร่างกาย!!!

การเตรียมความพร้อมสำหรับการวิ่ง The North Face 100 Thailand ของผม

จำได้ว่าครั้งแรกที่ผมเห็นภาพโปรโมตการแข่งขันรายการ The North Face 100 Thailand ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก สโลแกนสั้นๆ “Break All Boundaries” ช่างท้าทายเราให้ไปร่วมชาเล้นท์การแข่งขันรายการนี้เสียจริง
2014 ปีแรกที่ไปร่วมแข่งรายการนี้ เพื่อนๆ ยุให้ลง 25 กม.เลย ผมบอกไปว่า ไม่ไหวหรอก ขอ 15 ก็พอ ไม่เคยคิดว่าจะวิ่งไกลเกินไป ขอวิ่งระยะแค่ 10 กม. พอแล้ว สุดท้ายผมก็ตัดสินใจลงระยะ 25 กม. และปี 2014 ผมวิ่งฮาล์ฟไป 1 รายการ กับมาราธอนอีก 3 รายการ
ปี 2015 ผมตัดสินใจลงระยะ 50 กม. ด้วยความมั่นใจในความฟิตของตัวเองสุดๆ เนื่องจากซ้อมถึงและมีประสบการณ์การวิ่งมาราธอนมากพอ จนรู้สึกว่าการวิ่งมาราธอนสามารถวิ่งได้โดยใช้เวลาเตรียมตัวก่อนแข่งไม่นาน ปีนั้นผมวิ่งจบ 50 กม. ด้วยสภาพร่างกายที่ย่ำแย่มาก เกือบอาเจียนระหว่างวิ่ง และตอนเข้าเส้นชัย ไม่สามารถพยุงตัวเองลุกขึ้นมายืนได้นานกว่า 10 นาที ปีนั้นตัดสินใจแน่วแน่ว่า หัวเด็ดตีนขาดก็คงไม่ขยับขึ้นไปวิ่งระยะ 100 กม.แน่ๆ แค่ 50 กม. ก็จะตายแล้ว
เว้นวรรคไป 2 ปี ผมก็ไม่ได้มาร่วมวิ่งรายการนี้อีกเลย บางทีอาจเป็นไปได้ว่าระหว่าง 2 ปีนี้ ผมซ้อมน้อยลงมากๆ และลงรายการวิ่งไปเพียง 3-4 รายการเท่านั้น
ผมตัดสินใจมาวิ่ง 100 กม. ครั้งนี้ จากการได้เห็นคุณ Karn Sakulsak แชร์เพจ The North Face 100 Thailand ว่ารายการนี้แจกเสื้อ Finisher และจำนวนคนสมัครระยะนี้ยังไม่เต็ม ซึ่งผมเข้าใจไปเองว่า มันคงเต็มเร็วมาก แบบรายการวิ่งต่างๆ ที่ระยะ 2 ปีมานี้เต็มเร็วมาก จนต้องเฝ้าหน้าจอสมัครวิ่งกัน แต่ตอนสมัครไปผมก็ยังมีกั๊กไม่จ่ายค่าสมัคร ต้องการตัดสินใจทบทวนอีกครั้งว่า จะวิ่งให้จบไหวมั้ย ผมมาตัดสินใจชำระเงิน เพื่อให้การสมัครครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะเห็นภาพพี่ตูน บอดี้สแลม วิ่งกลางแดดติดต่อกันหลายวัน บางวันซัดวันเดียวปาเข้าไป 70 กว่ากม. ในการวิ่งเบตง- แม่สาย เมื่อปลายปีที่แล้ว
ยอมรับเลยว่า นี่เป็นการลงรายการวิ่งครั้งแรกในชีวิตที่ผมไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถทำสำเร็จ ภาพตอนนั่งพักหลังเข้าเส้นชัยระยะ 50 กม.แล้วพยุงตัวลุกขึ้นไม่ได้ ยังตามหลอนผมอยู่จนถึงวันนี้ ณ วันนั้นเหลือเวลาเตรียมตัวอีก 2 เดือนเท่านั้น
ใน 2 เดือนนี้ ผมศึกษาข้อมูลคำแนะนำจากทุกแหล่งที่หาได้ และเข้าไปดูสถิติผลการแข่งขันรายการนี้ย้อนหลัง 3 ปี และลองหาข้อมูลคนที่ไม่สามารถพิชิตระยะนี้ที่รายการนี้สำเร็จ น่าจะด้วยเหตุผลไหนบ้าง
เท่าที่ผมเข้าไปดูสถิติย้อนหลังพบว่า การแข่งขันรายการมีคนทำสำเร็จไม่ถึง 50% จากคนที่เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด
ปี 2015 จบ 77 คน จาก 191 คน 40.31%
ปี 2016 จบ 86 คน จาก 250 คน 34.40%
ปี 2017 จบ 119 คน จาก 282 คน 42.20%
ผมสุ่มเข้าไปดูสถิติการวิ่ง 50 กม.แรก กับ 50 กม.หลัง พบว่าส่วนใหญ่แล้ว การวิ่งครึ่งหลังจะใช้เวลาแถวๆ 10 โดยประมาณ หมายความว่า ผมควรจะมีความสามารถวิ่งครึ่งแรก โดยที่สภาพร่างกายยังไปต่อไหวในครึ่งหลัง ให้ได้ระยะเวลาไม่เกิน 8 ชั่วโมง ผมอาจมีโอกาสจบรายการนี้ได้
แต่ว่า เมื่อถึงวันวิ่งจริงๆ แล้ว การคำนวนณตามสถิติหรือตามคณิตศาสตร์ มันก็ไม่ได้การันตีว่าผมจะจบการแข่งขันวิ่งรายการนี้ได้ เพราะผมเคยเห็นนักวิ่งที่แข็งแรงกว่าผมในช่วงปี 2015 วิ่งไม่จบรายการนี้
การหาสาเหตุอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการฟิตจึงเกิดขึ้น ผมพบว่า คนที่วิ่งไม่จบ โดยที่ไม่เกี่ยวข้องการซ้อม หรือฟิตไม่ถึงน่าจะมีดังต่อไปนี้
1.การบริหารจัดการเติมพลังงานระหว่างวิ่งไม่ดีพอ ซึ่งเรื่องนี้ผมเข้าไปอ่านข้อมูลเวบต่างประเทศ เค้าแนะนำให้เติมพลังงานระหว่างวิ่งแถวๆ 240 แคลอรี่ต่อชั่วโมง
ผมหาซื้ออาหารและดูข้อมูลปริมาณสารอาหารและปริมาณแคลอรี่ เพื่อคำนวณเรื่องอาหารที่ผมจะพกไปกินระหว่างวิ่งทั้งหมด รวมถึงการซ้อมกินก่อนวิ่ง เพื่อหาตัวที่สามารถกินไปวิ่งไปได้ และปรึกษาน้องจูนนักโภชนาการที่ปรึกษานักกีฬาทีมชาติหลายชนิดกีฬา เธอยืนยันว่าก็โอเคค่ะพี่ สู้ๆ

2.บริหารความสมดุลย์ของความเข้มข้นของน้ำที่จะเติมเข้าไปไม่พอ ซึ่งเรื่องนี้ผมได้ความรู้จาก Live สด ของหมอเมย์กับพี่ป๊อก
ผมซื้อเกลือเม็ดและกินทุกๆ ต้นชั่วโมง ตลอดระยะทางวิ่ง
3.มีปัญหาเท้าพอง จนวิ่งต่อไม่ไหว ได้ความรู้จาก Live สด หมอเมย์กับพี่ป๊อกอีกเช่นเคย
หมอสมศักดิ์จาก Bangkok Advanced Clinics ดูแลตัดแผ่น Insole เข้ากับรูปเท้าผม ทำให้ผมสามารถซ้อมต่อเนื่องตามแผน รวมระยะเวลา 3 เดือน 1,005 กม. ผมไม่มีอาการเท้าพองรบกวนอีกเลย

 
4.Heatstroke ผมได้รับคำแนะนำโดยตรงจากพี่ป๊อก เรื่องการรักษาแกนกลางให้เย็น รวมถึงได้รับคำแนะนำตอนเข้าฟังบรีฟคืนก่อนวิ่ง ว่ายอดนักกีฬารายการนี้ แนะนำให้พยายามลดอุณหภูมิร่างกาย โดยที่งานจะมีฟองน้ำจุ่มน้ำเย็นเป็นระยะๆ
ผมแทบจะราดตัวเมื่อผ่านจุดที่มีฟองน้ำแช่น้ำเย็น น้ำแข็ง
5.Dehydrate อาการขาดน้ำ เป็นอาการที่ผมกังวลมากที่สุด เพราะโดยธรรมชาติแล้วชีวิตประจำวันดื่มน้ำน้อย และเคยมีปัญหาระหว่างซ้อมวิ่งยาวๆ ฉี่เป็นสีสนิม
ผมไปตรวจไตให้เรียบร้อย เพื่อตัดความน่านจะเป็นอื่นที่ทำให้ฉี่เป็นสีสนิมออกให้หมด ซึ่งก็พบว่าไตปกติ ก่อนวันแข่ง ได้รับคำแนะนำจากคุณเจย์ นักวิ่งอัลตร้าระดับต้นๆ ของประเทศจากคลิบที่คุณอุ๊บอิ๊บแชร์ความทรงจำตอนพบคุณเจย์ครั้งแรกระหว่างสัมภาษณ์ให้คำแนะนำนักวิ่งเทรลว่า ก่อนวิ่ง 1 วันให้ดื่มน้ำเยอะๆ
6.กล้ามเนื้อแข็งแรงไม่พอ ยืนระยะไม่อยู่ เรื่องนี้รู้ด้วยตัวเอง ตอนไปเดินป่าเขาใหญ่ 3 วัน 2 คืน แค่เดินก็ป่า ก็ปวด Ham String แล้ว
หมอสมศักดิ์จาก Bangkok Advanced Clinics แนะนำท่าออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบหัวเข่า ทำให้ผมจบได้ด้วยการไม่มีอาการเจ็บกล้ามเนื้อส่วนใดๆ ของขาเลย
7.ความประมาท ความชะล่าใจ
ก่อนวิ่ง 1 อาทิตย์ ผมมีความมั่นใจมากว่า ผมจะวิ่งจบด้วยเวลาต่ำกว่า 16 ชั่วโมง เพราะข้อมูลการซ้อมทุกอย่าง มันมีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถทำได้ แต่ใช่ว่าการพิชิตระยะ 100 กม. รายการนี้จะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ มันไม่ง่ายหรอกนะพ่อหนุ่ม ที่มาลงระยะนี้ครั้งแรกแล้วอยากจะพิชิตได้แบบชิลล์ มันต้องมีอะไรทดสอบให้จดจำรายการนี้สักหน่อย
ก่อนวันวิ่ง 3 วัน อากาศมีการเปลี่ยนแปลง ฝนตกจากลมหนาวปะทะลมร้อน ซึ่งอากาศจะเย็นขึ้นในอีกไม่กี่วัน เป็นข่าวดีมากๆ สำหรับนักวิ่งที่ไปแข่งงานนี้ แต่เวลาที่อากาศเปลี่ยนแปลง ผมมักจะมีอาการภูมิแพ้กำเริบ หรือ อาจเป็นหวัดลงคอเป็นประจำ และมันก็ออกอาการไม่ดีตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ก่อนวันวิ่ง 2 วัน ผมอัดวิตามินซี ยาแก้แพ้ ยาละลายเสมหะ ทันทีและดื่มน้ำอุ่นทั้งวัน รวมถึงใช้หน้ากากอนามัยปิดปากทั้งวัน แม้กระทั่งตอนนอน แต่อาการก็ยังทำทีว่าจะเริ่มมีอาการเจ็บคอในวันก่อนแข่ง 1 วัน จนผมต้องใส่เสื้อหนาวทั้งวัน แม้ว่าวันนั้นอากาศกรุงเทพยังไม่เย็นจนต้องใส่เสื้อหนาว และยังดื่มน้ำอุ่มทั้งวัน ตั้งแต่เช้าจนถึงคืนนั้น รวมถึงการขอคำแนะนำเรื่องยาจากพี่เล้ง เภสัชกรนักวิ่ง
วันวิ่งเหมือนอาการต่างๆ ที่ทำท่าจะกำเริบดีขึ้น แต่ยังมีน้ำมูกใสๆ ทั้ง 2 ข้าง รบกวนการหายใจตลอดทาง
และแล้วช่วงเวลาที่ผมไม่เคยคิดฝันว่าตัวเองจะมาไกลจนถึงจุดนี้
ลงรายการวิ่งเทรลระยะ 100 กม. ซึ่งผมเคยยืนยันเด็ดขาดหลายครั้งว่าไม่เอาแน่ๆ
ก่อนเวลาสตาร์ท ผมไม่ได้มีอาการตื่นเต้นมากนัก ไม่เหมือนตอนมาราธอนแรกที่ขอนแก่น คิดเพียงว่า หลัง 50 กม.แรกไป ผมจะได้เจอประสบการณ์อะไรบ้าง เพราะไม่เคยแม้กระทั่งวิ่งทางราบเกินระยะ 50 กม.มาก่อนเลย ไม่มีประสบการณ์ว่ากล้ามเนื้อมันจะล้าขนาดไหน และเราจะอดทนวิ่งต่อได้หรือไม่
และแล้วเมื่อถึงเวลาสตาร์ท ผมก็วิ่งออกไปตามแผนที่ผมวางเอาไว้ในรายการนี้ ซึ่งแผนของผมคือ เซฟกล้ามเนื้อ และเซฟร่างกายตัวเองให้ยังมีเหลือที่จะไปต่อใน 50 กม.หลัง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมไม่ได้กำหนดเป้าเวลาเป็นเรื่องหลักในการวิ่งครั้งนี้ ผมตั้ง HR ไว้เป็นหลักในแผนการวิ่งครั้งนี้ ซึ่งผมตั้งไว้แถวๆ โซน 2 กลางๆ
แต่อย่างที่บอก รายการนี้มันไม่ได้หมูๆ ให้ใครมาพิชิตง่ายๆ โซน 2 กว่าๆ ของผมที่ซ้อมมาตลอดที่น้ำหนักตัว 78 กก. อยู่แถวๆ เพซ 6 กลางๆ ถ้าอากาศเย็นๆ อาจต่ำถึง 6 ต้นๆ ได้ แต่วันนั้นที่เพซ 6 ปลายๆ อุณหภูมิ 19 องศา มันโดดไปถึงโซน 3 บางช่วงที่ไม่ได้วิ่งเร็วมาก ทางชันไม่มาก ขยับไปโซน 4 อาจเป็นเพราะระบบการหายใจไม่คล่องจากอาการมีน้ำมูกทั้ง 2 ข้าง และมีอาการไอเป็นระยะๆ ตลอดการวิ่ง

การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจึงเกิดขึ้น ผมต้องยอมเปลี่ยน HR ใหม่ ตั้งคุมไว้ที่โซน 3 แทน และใช้ฟิลลิ่งตัวเอง เช็คความรู้สึกแต่ละก้าวที่วิ่งว่าเราได้ใช้กล้ามเนื้อมากเกินไปมั้ยในการวิ่งเพซนั้นๆ เป็นการวิ่งที่ขายังรู้สึกสบายหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อ HR เกินโซน 3 ขึ้นมา ผมก็จะชะลอความเร็วให้ HR กลับเข้าไปอยู่ในโซนเสมอ แข่งเที่ยวนี้ ทางขึ้นเขาผมแทบจะไม่ได้วิ่งขึ้นเลย จะมีก็แต่ทางถนนช่วง 10 กม.แรกๆ เท่านั้น นอกจากนั้นส่วนใหญ่จะเดิน เซฟกล้ามเนื้อ แต่ขาลงผมจัดเต็มตลอด เหมือนกล้ามเนื้อขาช่วงวิ่งลงผมจะแข็งแรงกว่ากล้ามเนื้อขาช่วงขาขึ้น เลยทำให้มีอาการเท้าพองนิดหน่อยจากการเบรคเพราะมันเริ่มเร็วจนน่าจะเบรคไม่อยู่แล้ว
ผมมีอาการหายใจผิดปกติตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของการวิ่ง จำไม่ได้ว่าตั้งแต่ตอนไหน แต่น่าจะก่อนผ่าน 30 กม.ด้วยซ้ำ มันเป็นการหายใจที่ไม่ชิลล์นัก ทั้งๆ ที่เพซไม่สูง หรือแม้กระทั่งตอน HR ลดลงเหลือไม่เกิน 115 ก็ตาม ( แม้กระทั่งหลังวิ่ง อาการหายใจแรงๆ ก็ยังเป็นอยู่จนถึงราวๆ ตี 1 ของคืนนั้น ) ทำให้เริ่มมีความคิดว่า สงสัยวันนี้ไม่น่าจบ ถ้าไม่จบจะวิ่งได้สูงสุดกี่กม.ดีๆ
ความคิดที่ว่าจะไม่จบ มันแวบเข้ามาในสมองอยู่เรื่อยๆ ยิ่งเจอภูเขาเซอร์ไพร์ซที่ผู้จัดเต็มใจมามอบให้ผู้ท้าทายการแข่งขันรายการนี้ แทบช็อค เขาลูกนี้สูงมากใช้พลังในการขึ้นเยอะมาก และชัน แค่ค่อยๆ ยันตัวขึ้นไปทีละก้าว HR ของผมก็โดดไป 150 แล้ว ปกติ HR ระดับนี้ ทางราบผมวิ่งประมาณเพซ 4 ปลายๆ ตอนนั้นยิ่งมีความคิดชัดเจนว่าน่าจะไม่จบแน่ๆ แต่ไม่ว่าสมองจะคิดอย่างไร ผมก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหวร่างกาย ยังเคลื่อนไหวตลอด และไม่หยุดพักที่ CP นานๆ ผมจะเดินเมื่อต้องกินพาวเวอร์บาร์ และเมื่อเจอทางขึ้นเนิน ซึ่งวันนี้ผมตัดสินใจไม่วิ่งเลย ที่สโลปเกิน 3% (ผมใช้วิธีดูค่า Ascent ใน Garmin ที่เปลี่ยนไปที่ระยะ 100 เมตร ถ้ามันเปลี่ยนมากกว่า 3 เมตร ก็จะไม่วิ่ง บางสโลปมองด้วยตาก็รู้แล้ว ชันสุดๆ ) ส่วนทางราบ ทางลง ไม่ว่าจะ 10 เมตร หรือ 1 กม. ก็วิ่งช้าบ้าง เร็วบ้างเสมอ
จบ 50 กม.แรก ผมใช้เวลาไป 7 ชั่วโมง ซึ่งอยู่ในเวลาตามคำแนะนำของคุณ Karn ซึ่งผมปรึกษาตลอดเรื่องการเตรียมตัวมาวิ่งงานนี้ ผมเหลือเวลาอีก 11 ชั่วโมง กับอีก 50 กม. คำนวณหยาบๆ ในใจ ถ้าเดินจ้ำๆ ชั่วโมงหนึ่งได้ 5 กม.กว่าๆ 10 ชั่วโมง ก็ 50 กม. น่าจะจบ คิดได้เช่นนั้น ก็ต้องรีบออกวิ่งต่อสิครับ ผมใช้เวลาพักอยู่ที่ CP5 ประมาณ 12 นาที ก็รีบออกวิ่งครึ่งหลังเลย ตามคำแนะนำของพี่ป๊อก ซึ่งบอกว่า อย่าใช้เวลาที่ CP นาน ที่จุด CP ผมแค่หยิบเจลกับพาวเวอร์บาร์มาเติม และละลายอาหารผงเครื่องที่มีคาร์โบไฮเดรต กับโปรตีนสูงๆ ดื่มและกินปลาทูน่าไปไม่ถึงครึ่งกระป๋อง และก็ออกสตาร์ทวิ่งต่อ โดยเอายูโรเค้ก 2 ชิ้น เดินไปกินไป ถ้าเป็นเวลาปกติ 2 ชิ้นนี้ ผมสามารถกินและกลืนหมดภายในเวลาไม่เกิน 1 นาที หรือตอนซ้อมวิ่งไปกินไป ผมก็กินหมดไม่นานนัก แต่ในสภาพเหนื่อย หายใจไม่ปกติในวันนี้ กว่าจะกินและกลืน 2 ชิ้นนี้ ราวๆ 10 นาทีน่าจะได้
ช่วง 50 กม.หลัง ผมใช้วิธีเดินๆ สลับวิ่ง เพื่อเซฟกล้ามเนื้อขา ให้ปีนเขาลูกที่ทางผู้จัดเตรียมมาเซอร์ไพร์ซนักวิ่งปีนี้ ซึ่งเค้าตั้งใจจัดไว้ทดสอบเราในช่วงท้ายๆ ที่พลังงานเหลือน้อยแล้วด้วย คิดในใจ โครตโหดร้ายทารุณเลย สมองตอนนั้นก็ยังมีความคิดไม่จบเข้ามาอยู่เรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ผมคำนวณในใจคร่าวๆ ถ้าผมสามารถไปให้ถึงกม.ที่ 80 ได้ก่อน 18:00 น. โดยมีเวลาเหลือให้วิ่ง 20 กม. อีกตั้ง 5 ชั่วโมง ยังไงก็จบ (เฉลี่ยชั่วโมงละ 4 กม. สบายมาก เพราะมันเป็นเพซ 15 นาทีต่อกม. คือเดินเอาก็จบได้แล้ว) ซึ่งผมก็เข้าก่อนหลาย 10 นาทีอยู่ แสดงว่า ผมเหลือเวลา 5 ชั่วโมงกว่าๆ ในการวิ่งอีก 20 กม. (เฉลี่ย 3 กม.กว่าๆ ต่อชั่วโมง จบแน่ๆ ครับ)
สุดท้ายผมก็จบที่เวลา 16 ชั่วโมง 52 นาที เร็วกว่าเวลาตัดตัว 1 ชั่วโมง 8 นาที

ประสบการณ์งานวิ่งเทรล 100 กม. แรกในชีวิตผม สอนไว้ว่า แม้ว่าเราจะมีความคิดว่าอาจจะไม่จบแทบจะตลอดเส้นทาง แต่เราก็จะไม่ยอมหยุดก้าวไปข้างหน้าเสมอตลอดเวลาที่ยังมีเวลาเหลืออยู่ สิ่งที่ทำให้ผมจบได้ น่าจะเป็นการพยายาม หาเป้าหมายเล็กๆ และทำให้สำเร็จ ก่อนถึงเป้าหมายใหญ่ โดยการวิ่งไปให้ถึงระยะทางที่ผมคิดไว้ให้ได้ภายในเวลาที่กำหนด เพื่อให้ระยะทางที่เหลือ แม้เดินชิลล์ก็ยังจบได้ ช่วยทำให้เรามีความหวัง และมีกำลังใจที่จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าตลอดเวลา โดยไม่อู้ที่ CP และไม่หยุดที่จะก้าวครับ….

 
ขอขอบคุณบทความจากแฟนเพจ Golfer Online
 คุณเฉลิมวงศ์ บวรกีรติขจร (โปรซิ่ง)

บาดเจ็บเข่า ไม่ใช่เรื่องกระดูกอย่างเดียว
เมื่อคนเรา เกิดอุบัติเหตุที่หัวเข่า จากการเล่นกีฬา หรือจากการขับขี่ยวดยานพาหนะโดยเฉพาะมอเตอร์ไซด์ ทั้งหมอฉุกเฉิน และผู้ป่วยก็จะ มุ่งเน้นไปที่กระดูก กลัวว่าจะมีกระดูกหักหรือเปล่า เพราะกลัวว่า ถ้าหักแล้วจะเดินไม่ได้หลายเดือน แต่ เรากลับลืมนึกถึง อวัยวะ อยู่สามอย่างที่อยู่ภายในข้อเข่าและมีความสำคัญมากไม่น้อยไปกว่ากระดูกเลยครับ นั่นก็คือ หมอนรองกระดูก กระดูกอ่อน และ เอ็นไขว้หน้า หลัง


กระดูกอ่อน (Cartilage) เป็นอวัยวะ ซึ่งอยู่บริเวณหน้าสัมผัสของผิวข้อครับ มีหน้าที่ผลิตน้ำในข้อ เพื่อทำให้เกิดความหล่อลื่นระหว่างผิวสัมผัสภายในข้อ ในช่วงที่มีเคลื่อนไหว ของหัวเข่า อีกทั้งเป็นอวัยวะส่วนสำคัญที่จะทำให้ คนเราเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมช้าลง เพราะกระดูกอ่อนทึ่เริ่มสึกหรอเป็นจุดเริ่มต้นของโรคนึ้ครับ

เวลามีการบาดเจ็บเกิดขึ้นที่กระดูกอ่อนนั้น มีวิธีสังเกตุอาการดังนี้ คือ มีอาการเจ็บลึกๆ อยู่ภายในข้อเข่า ไม่สามารถกดกระตุ้นให้เจ็บมากขึ้นได้ เพราะว่ากระดูกอ่อนที่บาดเจ็บ ส่วนใหญ่จะอยู่ลึกครับ อาจจะมีอาการเข่าบวม เป็นๆ หายๆ อยู่หลายสัปดาห์หลังจากการเกิดอุบัติเหตุ งอเข่าอาจจะไม่สุดเหมือนเดิม เวลาลงน้ำหนักเดินจะเจ็บที่ข้อเข่า ในจุดเดิมซ้ำๆทุกครั้ง และจะเดินไม่ค่อยถนัด เมื่อไป x ray ก็จะไม่พบห็นสิ่งผิดปกติ เพราะกระดูกอ่อนที่แตกนั้น ไม่สามารถเห็นได้จากการ x ray ธรรมดาครับ เพราะฉะนั้น คนไข้ในกลุ่มนี้ จึงจำเป็น ต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยที่ละเอียดมากขึ้นกว่าเดิมครับ คือ การทำ MRI (Magnatic Resonance Imaging) หรือการสแกนเข่าด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อที่จะสามารถบอกความรุนแรงของการบาดเจ็บ คือ ความลึกและความกว้างของการสึกหรอของกระดูกอ่อน และยังบอกตำแหน่งที่บาดเจ็บได้อย่างแม่นยำ ทำให้เราสามารถเลือกวิธีการรักษาที่ถูกวิธีให้กับผู้ป่วยได้ถูกต้อง และฟื้นตัวเร็วขึ้น
สำหรับในเรื่องของเอ็นข้อเข่า (Ligaments) ที่บาดเจ็บนั้น เราก็ต้องทราบก่อนนะครับ ว่า บริเวณข้อเข่าของมนุษย์นั้น มืเอ็นที่สำคัญอยู่ถึง สี่เส้น คือ เอ็นประคองเข่าด้านใน (Medial Collateral Ligament) และด้านนอก (Lateral Collateral Ligament) และ เอ็นไขว้หน้า และหลัง (Anterior and Posterior Cruciate Ligaments) เอ็นเหล่านี้มีหน้าที่ช่วยทำให้ข้อเข่าแข็งแรงขึ้น กระชับมากขึ้น และมีกำลังมากขึ้น ตัวอย่งเช่น ถ้าเอ็นประคองเข่าด้านในฉีกขาด เวลาเรายืน เข่าของเราก็จะอ้าออก ทำให้ยืนได้ไม่นานและเดินนานไม่ได้ จะมีอาการปวดตรงข้อพับเข่าด้านใน ซึ่งถ้าฉีกจนหมด เราก็จะไม่สามารถยืนยันพื้นได้ และถ้าไม่ได้รักษาอย่างไม่ทันท่วงที โดย การใส่เฝือกที่หัวเข่านานถึง สองสัปดาห์ เอ็นส่วนนี้ก็อาจจะไม่ติด ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเดินลำบากเรื้อรังได้ จำเป็นต้องรักษาโดยการผ่าตัด โดยเปิดหัวเข่าเข้าไปซ่อมแซมเอ็นเท่านั้นครับ


ส่วนเอ็นไขว้หน้าและหลังนั้น ซึ่งมักจะเกิดขึ้นได้บ่อยใน นักกีฬา ถ้ามีการฉีกขาด เราก็จะมีความรู้สึกไม่มั่นคงของเข่า เวลาเดินอาจจะมีอาการเหมือนคนที่เข่าจะหลุด เข่าโย้ และ อาจมีการทรุดตัวลงไป คนที่ต้องต้องการความคล่องตัวของหัวเข่า เช่น นักกีฬา หรือคนทำงานในวัยหนุ่มก็จะมีปัญหาได้

เอ็นสองเส้นนี้ ถ้ามีการฉีกขาดหมด จะไม่สามารถซ่อมแซมได้ เรียกได้ว่า ขาดแล้วขาดเลย จะไม่สามารถผ่าตัดเอามาต่อกันได้ จำเป็นต้องใช้เอ็นส่วนอื่นมาแทน แต่ก็โชคดีครับ ที่เทคโนโลยี่การผ่าตัดในส่วนนี้ พัฒนาไปถึงขั้นที่ว่า สามารถใช้กล้องส่องเข้าไป ผ่าตัดสร้างเสริมเอ็นตัวใหม่ได้ โดยมีบาดแผลเป็นรูเล็กๆเท่านั้น


อวัยวะสุดท้ายที่อยู่ในข้อ และมีโอกาสบาดเจ็บ คือ หมอนรองกระดูก (Meniscus) ซึ่งจะมีรูปร่างเป็นเหมือนครึ่งวงกลม รองรับแรงกระแทกอยู่ระหว่างข้อต่อ เราอาจจะมีอาการปวดอยู่ที่หน้าข้อเข่า มีรอยบวม กดเจ็บจากผิวหนังเข้าไป ในระยะแรกๆ แต่ถ้าปล่อยเรื้อรังก็จะเกิดปัญหา ปวดเข่าเรื้อรังได้ หรือมีอาการเข่าบวม เป็นๆ หายๆ ขึ้นอยู่กับการใช้งาน ในกรณีที่เกิดการฉีกขาดรุนแรง และชิ้นส่วนของหมอนรองกระดูกหลุดออกไปขัดขวาง การเคลื่อนไหวของข้อ จะทำให้ข้อเกิดการล็อดตัวและ เคลื่อนไหวไม่ได้ ชั่วคราว แต่ลองนึกดูนะครับว่า ถ้าอาการนี้เกิดขึ้น ระหว่างเดินข้ามถนนแล้วอยู่กลางถนนพอดี เกิดอาการก้าวขาไม่ออก อะไรจะเกิดขึ้น
การดูแลรักษา ในเรื่องของหมอนรองกระดูกบาดเจ็บนั้น จะขึ้นอยู่ที่ความรุนแรงในการบาดเจ็บ ถ้าเป็นน้อยอาจจะเพียงพักการใช้งานของหัวเข่า แต่ถ้าฉีกขาดมาก ก็จำเป็นต้องส่องกล้องเข้าไปซ่อมแซม โดยการเย็บ ยิงหมุด ซ่อม หรือตกแต่งขอบแผลของหมอนรองกระดูกให้เรียบร้อยขึ้น และคีบเอาชิ้นส่วนที่ไปขัดลำอยู่ที่ข้อออก ก็จะทำให้ข้อเข่ากลับมาเคลื่อนได้ดีเหมือนเดิม อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นที่ข้อเข่า จึงไม่ใช่เรื่องของกระดูกหัก หรือ แตกแต่เพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องระมัดระวังอวัยวะสามอย่างที่กล่าวมาด้วย แล้วเราก็จะสามารถใช้เข่าได้นานๆ ต่อไป


คุณเริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมเเล้วหรือยัง? ตอนที่ 1
คุณเริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมเเล้วหรือยัง?
โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นโรคที่มีการทำร้ายผิวกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อเกิดการสึกหรอ ยุบตัวลงมาของข้อเข่า มีกระดูกงอกที่เห็นได้ชัดจาก X-Ray มีคนหลายคนกระหยิ่มยิ้มย่อง คิดว่าถ้าอายุไม่ถึง 60 ปี ไม่มีทางที่จะเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม ความคิดนี้อาจจะถูกในสมัยก่อน ที่เรามีการใช้ข้อเข่าทำงานน้อย สมัยก่อนที่เรามีการออกเเรง กล้ามเนื้อหัวเข่า อย่างสม่ำเสมอ เเต่ถ้าเป็น ในยุคปัจจุบัน อาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด มีการพบคนเป็นข้อเข่าเสื่อมในอายุที่น้อยลงเรื่อยๆ เเน่นอนยิ่งอายุเยอะ ยิ่งมีอัตราการเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมมากขึ้น เเต่ถ้าเราไม่ใส่ใจดูเเลจริงจัง เราอาจจะเป็นโรคนี้โดยไม่รู้ตัว ครับ
 
อาการของข้อเข่าเสื่อมเเบ่งเป็น 6 ขั้น เรียงจากเป็นน้อยๆ ไปหามาก ดังนี้ ครับ
ระยะที่หนึ่ง ระยะนี้ความจริงยังไม่ถือว่าเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม เหตุเพราะผิวข้อเข่า ยังไม่สึกกร่อน ผิวกระดูกอ่อนเรียบดี ตามที่เราได้บอกนิยามการเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม ว่า ต้องมีการสึกกร่อนของผิวกระดูกอ่อนก่อน เเต่อาการระยะเเรกนี้ ถือว่า สำคัญที่สุด เพราะถ้าเราตรวจสอบได้ก่อน เเละรีบเเก้ไข เราก็จะสามารถหยุดขบวนการที่ทำให้เป็นโรคเข่าสื่อมได้ อาการที่ว่านี้คือ อาการเมื่อยล้าที่น่องเเละต้นขาครับ คนไข้จะเมื่อย เเต่ไม่ถึงกับปวด ยังสามารถเดินได้ตามปกติดี ตกกลางคืนจะมีอาการเมื่อยล้าเเบบน่ารำคาญ นอนไม่หลับ ใครที่เเต่งงานเเล้วก็อาจจะขอให้คู่ของตนช่วยนวดที่ขาให้หน่อย ถ้ามีลูกทีโตพอจะใช้งาน ก็จะถูกใช้ให้จับเส้น นวดเบาให้เกือบทุกคืน อาการที่เป็นจะไม่สัมพันธ์กับความหนักเบาของการทำงาน เช่น บางคนไม่ได้เดินมาก นั่งเฉยๆทั้งวันก็มีอาการเมื่อยล้าได้
อาการเเรกเริ่มนี้ ยังพบได้ในคนที่ไม่ได้ค่อยชอบออกกำลังกาย ไม่เล่นกีฬาอย่างสม่ำเสมอ บางครั้งจะมีการออกกำลังกายตามเเฟชั่นบ้าง เป็นครั้งคราว เช่น การเต้นเเอโรบิค โยคะ เเต่เพราะไม่ได้บริหารกล้ามเนื้อเหนือหัวเข่าดีพอหรือสม่ำเสมอ พอความทนเเละความเเข็งเเรงของกล้ามเนื้อจะถดถอยเเละน้อยลงเรื่อยๆ ยิ่งบวกกับการที่กล้ามเนื้อต้นขาเเละน่องต้องทำงานซ้ำซากจำเจในช่วงกลางวัน เช่น นั่งงอเข่านานๆ จะทำให้เกิดการอักเสบเล็กๆน้อยๆ สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อ ตกตอนเย็นเมื่อการอักเสบกล้ามเนื้อมีมากพอ คนไข้จึงเริ่มเมื่อยล้า โดยเหตุนี้จึงมีอาการเฉพาะตอนกลางคืน ตื่นเช้าก็จะดีขึ้น เพราะกล้ามเนื้อได้พักผ่อนคลายมาทั้งคืน บางคนจึงมักติดนวด(เเผนโบราณนะครับ) ตลอดเวลา เดินเที่ยวห้างไกลมากหน่อย กลับมาก็จะเมื่อยล้ามาก
ข้อสังเกตอาการเมื่อยล้าที่เกิดจากภาวะ ความเเข็งเเรงของกล้ามเนื้อถดถอย  ก็คือมักจะมีอาการ ทั้งสองข้างพร้อมๆกัน โดยเฉพาะจะเป็นตำเเหน่งใกล้เคียงกัน บางคนไปหาหมอกระดูก ได้ยาเเก้อักเสบมาทานก็จะดีขึ้น  เเต่พอหมดฤทธิ์ยา 2-3สัปดาห์ อาการเมื่อยล้าก็จะกลับมาใหม่ไม่หายขาด ด้วยเหตุที่การทานยาไม่ได้ไปเเก้ ต้นเหตุของการอักเสบ เพราะสภาพความเเข็งเเรงของกล้ามเนื้อประคองเข่ายังไม่เเข็งเเรงเหมือนเดิม ต้องนั่งงอเข่านานๆเหมือนเดิม อาการเมื่อยล้าจึงยังคงอยู่เหมือนเดิม
เมื่อกล้ามเนื้อล้ามากขึ้น เวลาขึ้นบันลงบันได จะเริ่มมีเสียงเข่าลั่นเเละดังมาก จนคนอื่นได้ยิน เหตุเพราะกล้ามเนื้อส่วนขา ต้องออกเเรงมากขึ้นในการเคลื่อนไหว ความตึงของเอ็นที่ขึงจะตึงเพิ่มขึ้น ดังนั้นเวลาเคลื่อนไหวเอ็น เเละกล้ามเนื้อขาเหล่านี้จะเสียดสีกันจนเกิดเสียงดังมากขึ้น ถ้ามีการเคลื่อนไหวข้ออยู่บ่อย เช่น การปั่นจักรยาน การเดินนานๆ การเต้นเเอโรบิค ก็อาจจะเริ่มมีการเสียดสีผิวกระดูกอ่อนข้อทำให้ข้อสึกเพิ่มขึ้นเกิดการอักเสบ เเละก่อให้เกิดอาการในขั้นสองต่อไป จะเห็นว่า อาการระยะที่หนึ่งนั้น คนหนุ่มสาวก็มีสิทธิ์เป็นได้ เพราะฉะนั้นอย่าประมาทรีบหมั่นดูเเลกล้ามเนื้อประคองเข่าตั้งเเต่ตอนนี้ดีกว่า
สบายกาย คลายปวดเข่าครับ
บทความที่เกี่ยวข้อง : คุณเริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมเเล้วหรือยัง? ตอนที่ 2
บทความที่เกี่ยวข้อง : คุณเริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมเเล้วหรือยัง? ตอนที่ 3
บทความที่เกี่ยวข้อง : คุณเริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมเเล้วหรือยัง? ตอนที่ 4
บทความที่เกี่ยวข้อง : คุณเริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมเเล้วหรือยัง? ตอนที่ 5
บทความที่เกี่ยวข้อง : คุณเริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมเเล้วหรือยัง? ตอนที่ 6

คุณเริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมแล้วหรือยัง? ตอนที่ 2
คุณเริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมแล้วหรือยัง
2 ระยะที่สอง คือ อาการปวด บวม เเดง ร้อน ที่ข้อเข่า อาการปวดที่เกิดขึ้นจะปวดน้อย ๆก่อน ไม่รุนเเรง มักจะเกิดขึ้น เนื่องจาก คนไข้บังเอิญมีกิจกรรมที่ต้องใช้ เข่ามากกว่าปกติหน่อย เช่น เดินไกลมากขึ้น นั่งในรถนานๆ ไปต่างจังหวัด สะดุดเเต่ไม่ล้ม เดินในที่ที่ไม่เรียบ เช่น เดินในสวนที่บ้าน หรือ เดินเล่นกอล์ฟ พอวันรุ่งขึ้น จะมีอาการปวด บวม ตามเเนวของข้อเข่า เมื่อเอามือไปสัมผัสที่ผิวหนังบริเวณนี้ จะรู้สึกว่า อุ่นขึ้น ยืนในที่สว่างๆเปรียบเทียบสีผิวของเข่าทั้งสองข้าง ข้างที่ปวดจะเเดงกล่ำมากกว่าอย่างชัดเจน
 
คุณผู้หญิงที่มีอายุมากหน่อย เเต่ยังมีไฟอยู่ ชอบไปเดินเที่ยวห้าง ก็มักจะมีอาการปวดเป็นๆ หายๆเป็นครั้งคราวทำให้ น่ารำคาญใจ ไปไหนมาไหนก็ไม่ค่อยสะดวก คนสูงอายุที่ชอบไปเที่ยวตามเมืองนอกที่ต้องใช้เข่าเดินไปไกลๆ ในแต่ละสถานที่ ก็มักจะมีปัญหาที่ข้อเข่ากลับมาด้วยทุกครั้ง
 
           
ตัวอย่าง เช่น การไปเที่ยวเมืองจีน ดู กำเเพงเมืองจีน ก็เป็นตารางท่องเที่ยวที่ทุกคนที่ไปไม่อยากพลาด โดยเฉพาะคนสูงอายุ เวลาเห็นพวกเพื่อนๆเดินได้ ก็จะเดินตามถึงไหนถึงกัน กำเเพงเมืองจีนนั้น ถ้าใครเคยได้ไป จะเห็นว่า เเต่ละขั้นจะมีขนาดที่ใหญ่มาก ความชันในบางจุดก็สูงมากจนเเทบจะต้องไต่ขึ้นไป เวลาเดินไปที่แต่ละป้อมก็แสนไกล พอกลับมาถึงเมืองไทยวันรุ่งขึ้น เข่าก็อาจจะเริ่มบวม และปวดมากขึ้น เวลาลงน้ำหนักเดินก็จะไม่ถนัด ต้องนั่งรถเข็น เมือไปพบแพทย์กระดูก ก็อาจจะได้รับข่าวที่ไม่ชอบ ที่ว่าเราอาจเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม  
สิ่งที่ผู้ป่วยมักจะทำผิด เวลาเกิดการอักเสบที่หัวเข่า ปวดเข่า คือ การไปประคบร้อน หรืออุ่นมากๆที่ข้อเข่า ทำให้เข่ามีอาการอักเสบมากขึ้น ต้องเข้าใจว่าการอักเสบที่เกิดขึ้น นั้นจะทำให้เกิดการบวมเเดงร้อนมากขึ้นที่ผิวหนังรอบหัวเข่าอยู่เเล้วครับ การประคบร้อน หรือบางคนก็ไปนวดจะทำให้ เกิดอาการปวดเข่ามากขึ้นจนเดินไม่ไหว  เราจึงควรประคบเย็นมากกว่า เพื่อคลายการอักเสบลงมา โดยเฉพาะความร้อนที่สะสมในข้อเข่าอยู่ ซึ่งจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในนักกีฬาที่วิ่งจนกล้ามเนื้อเกร็ง ตึง จนออกซิเจนในกล้ามเนื่อไม่ค่อยมี กลุ่มนั้นสามารถประคบร้อน หรืออุ่นได้ 
 มีโรคปวดข้อเข่า อีกโรคหนึ่งที่ผู้ป่วยมักจะสับสน คิดว่า เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม เเต่ความจริงแล้วไม่ใช่ โรคนี้จะมีลักษณะที่คล้ายกันมากกับข้อเข่าเสื่อมแต่อาการเป็นหนักกว่า และเร็วกว่า   เช่นปวดข้อเข่ามากกว่า บวมมากกว่าเเละข้อสำคัญ  คือ ผิวหนังร้อนมากกว่า อาการปวดมากจนคนไข้บรรยายว่า ปวดจนนอนไม่หลับ เดินไม่ได้ โรคที่ว่าคือโรคเก๊าท์เข้าข้อเข่าครับ โรคนี้มีสาเหตุที่เกิดจากอาหารประเภทโปรตีนสูง (สัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ ถั่ว ทุกชนิด ยอดผัก อัลกอฮอล์) ที่เราทาน เข้าไปมากมาก แล้วร่างกายจะย่อยสลายเป็นกรดยูริค ในบางคน ร่างกายอาจจะมีภาวะในการย่อยสลายที่ผิดปกติ ทำให้สารยูริค  เกิดการสะสมในข้อต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ข้อเข่า เมื่อมีการกระตุ้นเพียงเล็กๆน้อยๆ เช่น ใส่รองเท้าใหม่ไปเดินไม่ถนัด ก็อาจจะก่อให้เกิดอาการปวดที่ข้อเข่า อย่างเฉียบพลันได้               
การรักษาอาการข้อเข่าเสื่อมในขั้นนี้  คือ การลดอาการอักเสบเร็วๆ พักการใช้งาน หยุดการเดิน นานๆ ถ้าไปพบเเพทย์ในช่วงนี้ ผู้ป่วยก็อาจจะได้รับยาเเก้อักเสบมา รวมทั้งคำเเนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับโรคข้อเข่าเสื่อม
สบายกายคลายปวดเข่า
บทความที่เกี่ยวข้อง : คุณเริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมเเล้วหรือยัง? ตอนที่ 1
บทความที่เกี่ยวข้อง : คุณเริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมเเล้วหรือยัง? ตอนที่ 3
บทความที่เกี่ยวข้อง : คุณเริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมเเล้วหรือยัง? ตอนที่ 4
บทความที่เกี่ยวข้อง : คุณเริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมเเล้วหรือยัง? ตอนที่ 5
บทความที่เกี่ยวข้อง : คุณเริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมเเล้วหรือยัง? ตอนที่ 6

คุณเริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมเเล้วหรือยัง? ตอนที่ 6
สาเหตุที่เดินไม่ได้
6.อาการเข่าเสื่อม ทุกๆระยะ ที่ผมกล่าวถึง ในตอนที่ผ่านมานั้น(ตอนที่ 1-5 ) เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่า ทำให้คุณภาพชีวิตของคนที่เป็นแย่ลงเรื่อยๆครับ จะเดินไปเที่ยวไกลๆก็ไม่มีความมั่นใจ ลูกหลานจะพาไปทานข้าวเย็นนอกบ้าน ก็อ้างว่า ไม่ชอบไป อาหารราคาแพง ไม่อร่อย คนพลุกพล่าน แต่ความจริงกลัวว่า เข่าจะปวด จะเป็นภาระให้ลูกหลานในการหาห้องน้ำห้องท่าให้ ยิ่งคนที่เป็น ข้อเข่าเสื่อมก่อนวัย อายุเพียงแค่ 50 ปีต้นๆ ยิ่งแล้วใหญ่ สุขภาพร่างกายทั่วไปยังแข็งแรงอยู่ ทุกอย่างใช้ได้หมด แต่เข่าทรุดโทรมไปมาก จนมีอาการถึงขั้นสุดท้าย ที่เราเรียกว่า เป็นอาการขั้นที่ 6 คือ ลงน้ำหนักเดินไม่ได้(unable on weight walking)
 
สาเหตุหลักๆที่ทำให้คนที่เป็นข้อเข่าเสื่อม
เดินไม่ได้ในระยะสุดท้ายนี้ มีสองสาเหตุครับสาเหตุแรกเป็นสิ่งที่คนทั่วไป และแพทย์ทราบกันเป็นอย่างดีแล้ว คือ เรื่องของอาการอักเสบข้อเข่า ทำให้มีอาการปวดเข่ามากทุกครั้งที่ลงน้ำหนักเดิน จนพาลให้ไม่อยากเดินไปไหน ส่วนสาเหตุที่สองนั้น เป็นสาเหตุที่สำคัญมากกว่า ครับ เพราะถึงแม้ว่าจะมีการรักษาโดยวิธีการผ่าตัดด้วยการ ปรับกระดูกเข่าให้ตรงขึ้น(High Tibial Osteotomy) หรือการเปลี่ยนข้อเข่าเทียม( Total Knee Replacement) ซึ่งจะแก้ไขอาการอักเสบ อาการปวดเข่าได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว แต่ถ้าไม่แก้สาเหตุที่สองด้วย ก็จะทำให้ได้ผลสำเร็จของผ่าตัดไม่เต็มที่ครับ สาเหตุที่สองนั่นก็คือ ภาวะกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าที่อ่อนแอลงไป โดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัว(Quadricep Muscle Atrophy)
  เราลองสังเกตุเข่าที่เป็นข้อเข่าเสื่อมดูดีๆนะครับ เราจะเห็นว่า นอกจากอาการปวดเข่าเวลาขึ้นบันไดแล้ว เข่าข้างที่เป็นจะรู้สึกไม่มีแรง ยันตัวขึ้นบันไดไม่ค่อยได้ ความจริงแล้ว การที่กล้ามเนื้อเข่าอ่อนแอลงไปนั้น สามารถพบได้ตั้งแต่ตอนที่เริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมใหม่ๆครับ จนทางการแพทย์ได้ไปศึกษา และพบว่า กล้ามเนื้อข้อเข่าที่อ่อนแอนั้น อาจจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนเป็นข้อเข่าเสื่อม อีกทั้งยังพบว่า เราพบว่าคนที่มีอาการของข้อเข่าเสื่อมอยู่แล้วและมีกล้ามเนื้อข้อเข่าไม่แข็งแรงนั้น จะมีโอกาสเป็นข้อเข่าเสื่อมในระยะสุดท้ายเร็วกว่า หลายเท่าครับ
 เราลองสังเกตุเข่าที่เป็นข้อเข่าเสื่อมดูดีๆนะครับ เราจะเห็นว่า นอกจากอาการปวดเข่าเวลาขึ้นบันไดแล้ว เข่าข้างที่เป็นจะรู้สึกไม่มีแรง ยันตัวขึ้นบันไดไม่ค่อยได้ ความจริงแล้ว การที่กล้ามเนื้อเข่าอ่อนแอลงไปนั้น สามารถพบได้ตั้งแต่ตอนที่เริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมใหม่ๆครับ จนทางการแพทย์ได้ไปศึกษา และพบว่า กล้ามเนื้อข้อเข่าที่อ่อนแอนั้น อาจจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนเป็นข้อเข่าเสื่อม อีกทั้งยังพบว่า เราพบว่าคนที่มีอาการของข้อเข่าเสื่อมอยู่แล้วและมีกล้ามเนื้อข้อเข่าไม่แข็งแรงนั้น จะมีโอกาสเป็นข้อเข่าเสื่อมในระยะสุดท้ายเร็วกว่า หลายเท่าครับ 
ผลเสียของการข้อเข่าเสื่อมในระยะนี้ที่ทำให้ ผู้ป่วยเดินไม่ได้ ไม่ยอมเดินนานๆ ทำให้ ถ้ามีแผลกดทับ(pressure wound)บริเวณสะโพก แผลจะไม่ยอมหาย มีโอกาสลุกลามใหญ่โต จนแผลกินลึกถึงกระดูก นอกจากนั้นแล้ว ยังก่อให้เกิดการมีโอกาสที่จะติดเชื้อทางเดินหายใจได้ง่าย เนื่องจากการเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง ปอดจะขยายตัวน้อยลงตามไปด้วย การขับอากาศเสียจากปอดน้อยลง มีผลทำให้เชื้อโรคตกค้างในปอดได้ง่าย
ถ้าเป็นระยะนี้ ก็ต้องรีบรักษาโดยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (Total Knee Replacement Surgery) และรีบกระตุ้นให้ผู้ป่วยทำกายภาพ ฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้กลับมาแข็งแรง ใช้งานประจำวันตามวัยได้เหมือนเก่าเร็วๆครับ
       
          
คุณเป็นข้อเข่าเสื่อมระยะนี้แล้วหรือยัง ถ้ายังต้องรีบรักษา ก่อนเป็นถึงระยะนี้
สบายกายคลายปวดเข่า
บทความที่เกี่ยวข้อง : คุณเริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมเเล้วหรือยัง? ตอนที่ 1
บทความที่เกี่ยวข้อง : คุณเริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมเเล้วหรือยัง? ตอนที่ 2
บทความที่เกี่ยวข้อง : คุณเริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมเเล้วหรือยัง? ตอนที่ 3
บทความที่เกี่ยวข้อง : คุณเริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมเเล้วหรือยัง? ตอนที่ 4
บทความที่เกี่ยวข้อง : คุณเริ่มเป็นข้อเข่าเสื่อมเเล้วหรือยัง? ตอนที่ 5

ปวดหลังมาเป็นเวลานาน 10 ปี สุดท้าย!! หายปวดหลังด้วยวิธีง่ายๆสองวิธีนี้
วิศวกรหนุ่มอายุเพียง 40 ปี ปวดหลังมาเป็นเวลานาน 10 ปี หาหมอมาก็เยอะ สุดท้าย!! หายปวดหลัง ไปเดินเที่ยวได้ไกลขึ้น ไม่เป็นตัวถ่วงเพื่อนอีกแล้ว ด้วยวิธีง่ายๆแค่สองวิธีนี้เอง ลองมาดูกันว่าง่ายขนาดไหน…

น้ำข้อเทียม
น้ำข้อเทียม

สาร Hyaluronic Acid (HA) เป็นสารที่มีอยู่ในน้ำข้อของมนุษย์ มีลักษณะที่เหนียว และยือหยุ่นสูงทำให้ข้อต่างๆ โดยเฉพาะผิวกระดูกข้อเข่าไม่ได้รับแรงกด หรือกระแทกมาก เวลาคนเราเดิน หรือวิ่ง นอกจากนั้น สารนี้ยังช่วยให้เกิดความลื่นที่ผิวกระดูกอ่อนเวลาเรางอหรือเหยียดหัวเข่า การเสียดสีที่ผิวกระดูกจะน้อยลง ทำให้กระดูกอ่อนผุกร่อนลดน้อยลงตามไปด้วย ส่งผลให้ข้อเข่าอักเสบ ปวด บวม แดง ร้อนน้อยลงเช่นกัน โดยปกติคนเราจะมีน้ำในข้อเข่าอยู่ประมาณ 1-2 ซีซี เท่านั้น เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้นน้ำในข้อเข่าก็จะมีปริมาณลดลงโดยเฉพาะคนที่เป็นข้อเข่าเสื่อม มักพบว่าน้ำในข้อเข่ามีปริมาณที่น้อยมาก คนที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมขั้นรุนแรงน้ำในเข่าแทบจะแห้งผากจนไม่มีเหลือเลยครับ สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คืออาการของข้อเข่าเสื่อมจะลุกลามเร็วมากขึ้นไปอีก บางคนเข่าโก่งขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดภายใน 1 ปี
นักวิทยาศาสตร์
พยายามค้นหาวิธีที่จะชะลอการเหือดแห้งข้องน้ำในข้อ เนื่องจากมีความเชื่อว่า ถ้าน้ำในข้อเข่าของคนเรายังมีอยู่จะมีประโยชน์อย่างมากในการป้องกันและช่วยชะลอความเสื่อมนี้ได้ มีการผลิตน้ำข้อเทียมขึ้นมาเป็นเวลาตั้ง 30 ปีมาแล้ว แต่ในระยะแรกๆ ยังไม่สามารถดำรงคุณสมบัติเหมือนของน้ำข้อเข่าจริงได้ พูดง่ายๆ ก็คือ ฉีดเข้าไปอีก 1-2 สัปดาห์มาเจาะเข่าดูก็ไม่พบน้ำข้อเทียมเสียแล้ว 
แต่ในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ก็สามารถที่จะชนะธรรมชาติได้ ในช่วงปี ค.ศ.1997-2004 มีการพัฒนาคุณภาพน้ำข้อเทียมให้ใกล้เคียงธรรมชาติมากขึ้น โดยผลิตจากสารธรรมชาติ เช่น หงอนไก่ (Rooster Combs) หรือ หมักมากจากแบคทีเรีย (Fermentation from Bacteria) และเริ่มใช้กันอย่างแพร่หลายในอเมริกาเหนือแคนาดา และทางยุโรปเริ่มต้น โดยข้อเข่าเสื่อมระยะสุดท้ายหลังจากนั้นก็มีการฉีดเข้าไปในข้อสะโพกข้อเท้าบ้าง สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีการใช้น้ำข้อเทียม ปรากฎว่าจำนวนผู้ป่วยที่ถูกผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมลดลงเป็นจำนวนมากอย่างน่าแปลกใจในต่างประเทศมีการทำวิจัยเปรียบเทียบข้อดีของน้ำข้อเทียมพบว่ามีข้อดี 3 ประการ คือ
- สามารถลดอาการปวดข้อเข่าได้ (decrease pain)
- ทำให้ข้อเข่าเคลื่อนไหวได้มากขึ้น (decrease stiffness)
- สามารถชะลอการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมไปได้ 1-1.5 ปี (Postpone Knee Arthroplasty Surgery)

วิธีการฉีด
คือ ฉีดโดยตรงให้น้ำยาเข้าไปข้างในช่องว่างของข้อเข่าก่อนฉีดแพทย์ อาจจะฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณผิวหนังก่อน เพื่อว่าขณะฉีดน้ำข้อเทียมจะได้ ไม่รู้สึกเจ็บแนะนำให้ในผู้เชี่ยวชาญฉีดเท่านั้น โดยฉีด 1 เข็มต่อ 1 สัปดาห์ และควรฉีดติดต่อกันนาน 3-5 สัปดาห์ เพื่อได้ผลการรักษาเต็มที่ ในต่างประเทศมักมีการฉีดถึง 5 เข็มติดต่อกัน ปัจจุบันเริ่มมีการฉีดในผู้ป่วยที่ส่องกล้องรักษาโรคกระดูก
ข้อเสียมี
เช่น การแพ้น้ำข้อเข่าเทียม อาจมีผื่นขึ้นตรงบริเวณที่ฉีดและในเรื่องของราคาที่ยังค่อนข้างสูงอยู่จำได้ว่าเมื่อ 3-4 ปีก่อน ผมเริ่มใช้ฉีดในผู้ป่วยมีบริษัทยานำเข้ามาแค่บริษัทเดียวราคาเกือบสองหมื่นบาท ในปัจจุบัน เนื่องจากมีการรายงาน ผลการรักษาที่ดีจึงมีบริษัทยาผลิตอีกหลายแห่งผลิตออกมาจำหน่ายเพิ่มขึ้น และมีการพัฒนาสารที่ใช้ผลิตดีขึ้นกว่า แต่เหนือสิ่งอื่นใด ภาวะข้อเข่าเสื่อมเป็นเรื่องของธรรมชาติครับ มีปัจจัยก่อโรคหลายสาเหตุมากระตุ้นให้เกิดการอักเสบ และมีอาการปวดขึ้นมาการรักษาจึงไม่ควรที่จะพึ่งการรักษาวิธีใดวิธีเดียว การฉีดน้ำข้อเทียมอย่างเดียวไม่ได้ทำให้โรคหายไปได้ ต้องคิดคำนวณความคุ้มค่าก่อนไปหาหมอให้ฉีดนะครับ


รองช้ำ
รองช้ำ
มีอาการอย่างหนึ่งที่ทุกคนในเมืองใหญ่บนโลกนี้มีโอกาสเป็นเหมือนกัน ขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะมีการใช้เท้าของเราหนักหนาเพียงใด และเหมาะสมเพียงใดครับนั่นคือ อาการปวดส้นเท้าจากโรครองช้ำที่ฝ่าเท้า

อาการที่เด่นชัดของโรคนี้จะเกิดขึ้นทุกเช้าที่ผู้ป่วยตื่นขึ้นมา เมื่อใช้เท้าเหยียบพื้นในจังหวะก้าวแรกที่เดิน คนที่มีอาการรองช้ำจะมีอาการปวดบริเวณส้นเท้ามากขึ้นมาทันที จนเดินเขย่งเกร็งกอยไปเข้าห้องน้ำ เมื่อเดินนานขึ้นอาการเจ็บส้นเท้าจะค่อยๆลดลงจนเหมือนไม่ได้เป็นอะไร แต่ทุกครั้งที่หยุดเดิน นั่งนานๆ เวลาจะเดินใหม่อีกครั้งก็จะเริ่มเจ็บที่ส้นเท้ามากเหมือนเดิมตอนเช้า จนดูเหมือนว่าจะไม่มีทางที่จะหายได้ และเมื่ออาการลุกลามมากขึ้น ก็จะมีอาการปวดมากขึ้นอาการก็จะมีลักษณะผิดแปลกไปจากเดิม ตรงที่ว่าเมื่อเดินไปนานๆ จะไม่หายเจ็บเหมือนเก่าแล้ว

สาเหตุ
โรครองช้ำที่กล้ามเนื้อฝ่าเท้านั้น เกิดจากการที่กล้ามเนื้อฝ่าเท้า มีความอ่อนแอมากจนกระทั่งไม่สามารถรับน้ำหนักตัวในชีวิตประจำวันได้ เส้นใยกล้ามเนื้อเกิดการฉีกขาดซ้ำๆที่เดิม จนเป็นรอยแผลเป็น หรือพังผืดที่เส้นใยของกล้ามเนื้อนั้น
ทำไมกล้ามเนื้อฝ่าเท้าที่คนในเองใช้งานอยู่ประจำ จึงเกิดความอ่อนแอขึ้นมาได้ทั้งๆที่คนเราก็เดินทุกวันเหตุผลมีดังนี้ ถึงแม้ว่าคนในเมืองจะใช้เท้าเดินอยู่ทุกวันเหมือนกับคนในชนบท แต่เป็นแค่เพียงการใช้งานเท่านั้นไม่ใช่การบริหาร เนื่องจากการใช้เท้าของคนในเมือง แตกต่างจากคนที่อยู่ในชนบทมากมาย คนในเมืองเดินพื้นที่เเข็งเรียบและการใส่รองเท้าที่พื้นแข็งติดต่อกันหลายชั่วโมง
การที่เท้าของเรา ต้องอยู่ในรองเท้าที่พื้นรองเท้ามีความแข็งตลอดเวลา อย่างน้อยก็ 8 ชั่วโมงต่อวัน กล้ามเนิ้อเล็กๆที่ฝ่าเท้าบางส่วนจึงไม่เคยได้บริหาร จนกระทั้งถึงวันนึงกล้ามเนื้อที่เท้าก็จะอ่อนแอ และวันดีคืนดีเมื่อมีการใช้งานหนักมากๆ กล้ามเนื้อฝ่าเท้าที่ส้นก็จะเกิดการฉีกขาดและอักเสบตามมา เป็นซ้ำไปมาหลายรอบในเมื่อต้นเหตุเกิดจากกล้ามเนื้อฝ่าเท้าที่อ่อนแอลง การหายจากโรคนี้จึงยากมาก ถ้าไม่ฟื้นฟูให้กล้ามเนื้อฝ่าเท้าแข็งแรงขึ้นมา
การรักษา
การทานยาเเก้อักเสบนั้น อาจจะลดอาการเจ็บปวดที่ส้นได้แค่ในระยะแรกเท่านั้น แต่เมื่อทานยาครบ หนึ่งถึงสองสัปดาห์อาการก็จะกลับมาใหม่ครับ การทานยานานๆก็จะมีปัญหาเรื่องของผลข้างเคียงที่อาจจะตามมาเป็นของแถมคือการมีแผลในกระเพาะอาหาร บางคนที่เป็นโรคนี้หลายรอบ การทานยาอาจจะไม่ได้ช่วยลดอาการเจ็บปวด จนจำเป็นต้องฉีดยาที่มีส่วนผสมของสารสเตอรอยด์เข้าไปในจุดที่เจ็บที่สุดของส้นเท้า
การฉีดยาที่มีสารสเตอรอยด์นี้บางคนก็อาจจะกลัว เนื่องจากการรับข้อมูลข่าวสารว่าเป็นยาอันตรายที่มักจะผสมอยู่ในยาแก้ปวดและยาลูกกลอนทั่วไป ในความเป็นจริงยาทุกตัวเป็นสิ่งที่อันตรายหมด ถ้าหากว่ามีการใช้อย่างไม่ถูกวิธีและไม่ได้ใช้โดยผู้เชี่ยวชาญ
แตกต่างจากยารับประทาน จะลดอาการอักเสบของร่างกายได้ทุกส่วนเพราะ หลังจากที่เรารับประทานยาลงไป ก็จะเกิดการย่อยและถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด แต่ยาฉีดตัวนี้ เป็นยาเฉพาะที่ที่จะไปลดอาการอักเสบในพื้นที่ที่เราฉีดไม่เกิน 2-3 ตารางเซนติเมตร และแทบจะไม่ส่งผลต่อร่างกายส่วนอื่นๆ เรียกว่าถ้ามีอาการอักเสบที่จุดอื่นของร่างกายก็จะไม่สามารถลดอาการอักเสบได้ เนื่องจากเป็นยาฉีดที่ออกฤทธิ์เฉพาะจุด แพทย์จึงสามารถนำยาชนิดนี้ไปฉีดในคนไข้ที่ตั้งครรภ์ที่มีอาการเจ็บเเละอักเสบจากรองช้ำได้นั่นก็หมายความว่ายาฉีดชนิดนี้ มีความปลอดภัยพอสมควร
ยาฉีดตัวนี้โดยทั่วไปจะมีฤทธ์ถึง 3 เดือน ถ้ายาหมดฤทธ์แล้วกล้ามเนื้อฝ่าเท้ายังไม่แข็งแรง เราก็จะกลับมาปวดที่ส้นเท้าใหม่
ในบางคนที่ปล่อยให้เป็นอยู่นานก็อาจจจะเกิดหินปูนเข้าไปเกาะที่กระดูกส้นเท้านั้น ทำให้เวลาเดิน จะมีเหมือนหนามแหลมเข้าไปทิ่มตำที่ส้นเท้าตลอดเวลา และถ้าหินปูนหนาและยาวมากขึ้น จนการรักษาวิธีอื่นไม่ได้ผล ก็จำเป็นต้องรักษาโดยการผ่าตัดและใช้เรื่องมือกรอหินปูนเพื่อเอาหินปูนออกเท่านั้น


การรักษาโรครองช้ำโดยการผ่าตัด เป็นการรักษาที่ต้นเหตุของโรคได้ผลดีมาก โดยการผ่าตัดเข้าไปในบริเวณกล้ามเนื้อส้นเท้าที่มีพังผืดแผลเป็น ซึ่งเป็นผลจากการที่มีการอักเสบติดต่อกันเป็นเวลานาน การผ่าตัดจะเข้าไปเลาะพังผืด กรอกระดูกงอกให้หายไป รวมทั้งมีการย้ายตำแหน่งจุดเกาะของกล้ามเนื้อฝ่าเท้า ทำให้หายจากโรค และป้องกันการฉีกซ้ำของกล้ามเนื้อส้นท้า ที่เป็นต้นเหตุของโรครองช้ำ
ผู้ที่เหมาะสมในการรักษา
1.ผู้ป่วยโรครองช้ำเรื้อรัง
2.ผู้ป่วยโรครองช้ำที่มีกระดูกงอกที่ส้นเท้า
3.ผู้ป่วยโรครองช้ำที่ได้รับการฉีดยาสเตอรอยด์มาหลายครั้งแต่ไม่หายขาด
4.ผู้ป่วยโรครองช้ำที่ไม่สามารถทานยาแก้อักเสบติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ
5.ผู้ป่วยโรครองช้ำที่เริ่มเดินนานๆไม่ได้ เดินตัวโยกมีอาการปวดหลัง

ถ้าไม่อยากผ่าตัดก็ต้องไม่เป็นโรคนี้ เราควรหาเวลาถอดรองเท้าแข็งๆออกจากเท้าของเราไปบ้าง และพยายามลงมาเดินเท้าเปลือยที่พื้นดิน หรือพื้นหญ้าที่มีลักษณะพื้นผิวที่ไม่ค่อยเรียบมากนัก กล้ามเนื้อฝ่าเท้าของท่านก็อาจจะกลับมาแข็งแรงเหมือนเก่า กล้ามเนื้อที่อักเสบทุกวันจากการเดินธรรมดา ก็จะได้มีเวลาพักฟื้น และกลับมาเดินได้ดีเหมือนเก่าทุกเช้าหรือทุกๆวัน


ปมเส้นประสาทนิ้วเท้าอักเสบ กับ รองเท้าส้นสูง
ปมเส้นประสาทนิ้วเท้าอักเสบกับ รองเท้าส้นสูง
คุณสาวๆที่อยากสวย หรืออาจเป็นเพราะหน้าที่การงานบีบบังคับ จึงจำเป็นต้องใส่รองเท้าส้นสูง ปลายรองเท้าแหลมเปี้ยบ อาจจะต้องเสี่ยงผจญภัยกับโรคที่มากับรองเท้าส้นสูงนี้ครับ นั่นคือ ปมประสาทนิ้วเท้าอักเสบ หรือ Morton’s Neuroma เส้นประสาทอักเสบจนกลายเป็นเนื้องอกของเส้นประสาทขึ้นมา

ปมเส้นประสาทนิ้วเท้าอักเสบหรือ Morton ‘s Neuroma จะทำให้เจ้าของเท้ามีอาการปวดมาก เวลาเดินโดยมักเป็นบริเวณโคนนิ้วเท้าที่สามและสี่ เนื่องจากเส้นประสาทบริเวณนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าช่องนิ้วอื่นๆ ทำให้ง่ายต่อการกระทบกระเทือน เวลาที่สาวๆใส่รองเท้าแคบๆส้นสูง หรือ กลุ่มที่ไม่ค่อยมีอุ้งเท้าคือมีพื้นเท้าแบนติดพื้นห้องเวลาเหยียบ เส้นประสาทเส้นนี้ก็จะถูกกดทับได้ง่ายขึ้น

เนื่องจากเส้นประสาทเส้นนี้ มีหน้าที่รับความรู้สึก ดังนั้นเวลาถูกกระทบกระเทือนหรือถูกเบียด เจ้าของเท้าจะมีความรู้สึกเสียว เจ็บ เหมือนไฟช็อต ไม่อยากให้ใครมาแตะถูกผิวเท้าบริเวณนี้ โดยเฉพาะด้านใต้ฝ่าเท้า และจะเจ็บมากขึ้นเมื่อเดินไปนานๆ จนเดินต่อไปไม่ไหว ถ้าลองกำและบีบปลายเท้าแรงๆหรือเคาะบริเวณระหว่างโคนนิ้วที่สามและสี่ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บ เสียว แปล้บ มาที่ปลายนิ้วเท้าทั้งสองและแทบจะจับมือหมอออกไม่ให้มาแตะบริเวณที่อักเสบ
การวินิจฉัย
          จำเป็นต้องมีการ X-Ray  เพื่อดูรูปร่างของกระดูกเท้า แต่การจะเห็นเส้นประสาทที่อักเสบแล้วบวมขึ้นนั้นจำเป็นต้องมีการทำ  MRI (Magnetic  Resonance Imaging)  หรือการใช้คลื่นแม่เหล็กสแกนภาพแบบสามมิติเพื่อเป็นการยืนยันว่าเป็นโรคนี้จริงๆ
การรักษา
เริ่มตั้งการทานยาเปลี่ยนรูปแบบของรองเท้าที่ดูอาจจะไม่สวยแต่ดีต่อสุขภาพเท้า การฉีดยาลดอาการอักเสบแต่ถ้าเป็นเรื้อรังมานานมักจะไม่ค่อยได้ผลสุดท้ายทางเลือกที่ดีที่สุด คือการผ่าตัดเล็กเอาเส้นประสาทที่เสียหายถาวรไม่ฟื้นคืน จนกลายเป็นเนื้องอกแบบนี้ออกให้หมด


การผ่าตัด
มักจะผ่าจากหลังเท้า มากกว่าใต้ฝ่าเท้าด้วยเหตุผลของความสะอาดในการดูแลแผล การผ่าตัดต้องควบคุมความรู้สึก โดยการบล็อคหลัง (Spinal Anesthesia) หรือให้หลับไปชั่วคราว (General Anesthesia) ใช้เวลาผ่าตัดไม่นานประมาณ 20 -30 นาที หลังผ่าตัดนอนพักสักหนึ่งวันเดินลงน้ำหนักที่ส้น ใช้ไหมละลายเย็บทำให้ไม่ต้องตัดไหม แผลโดนน้ำได้ หลัง 7-10 วันหรือ ปิดพลาสเตอร์กันน้ำไว้
          หลังผ่าตัดผู้ป่วยจะหายจากอาการเจ็บเส้นประสาทในทันที และจะไม่รู้สึกบริเวณผิวหนังขอบนิ้วที่สามและสี่ด้วย เพราะไม่มีเส้นประสาทที่รับความรู้สึก เมื่อกาลเวลาผ่านไปผิวหนังบริเวณนี้ อาจจะกลับมารู้สึกได้บ้าง เพราะเส้นประสาทที่อยู่นิ้วข้างเคียงส่งมาเลี้ยง
ก็ต้องเลือกเอาว่าคุณสาวๆ จะยอมเจ็บจนถึงขั้นต้องผ่าตัดเพื่อความสวยหรือไม่เรื่องนี้ หมอเลือกให้ไม่ได้เพราะเป็นความสุขส่วนตัวของสาวๆ ใครก็คงห้ามไม่ได้แล้วล่ะ


สามเดือน รองเท้าปรับโครงสร้าง ช่วยปรับโครงสร้างร่างกายดิฉัน ให้กลับมาเป็นปกติได้
หลังจากการตรวจ X-Ray จึงทราบว่า ร่างกายที่ใช้งานมาเยอะมาก จนทำให้โครงสร้างร่างกายทรุดลง โชคดีที่รู้จัก Bangkok Advanced Clinics และได้ทำรองเท้าปรับโครงสร้าง ผ่านไป 3 เดือน โครงสร้างกลับมาเกือบเป็นปกติเหมือนเดิม ดีใจมากค่ะ

แก้ไขขาโก่ง เข่าชิด ด้วยวิธี MHTO technique by Dr.Somsak’s part 1
ข้อเสียของการมีเข่าโก่ง ขาโก่ง เข่าฉิ่ง ขากาง มีหลายอย่างโดยเฉพาะทำให้โครงสร้างร่างกายที่ไม่สมดุล, มีผลทำให้ข้อเข่า และหลังมีการกระเทือนมากกว่าปกติ มีผลทำให้เกิดอาการปวดเข่า และหลังตามมา เข่าที่มีอาการปวดแบบนี้ ถือว่าเป็นโรคที่ต้องรีบรักษาครับ ไม่ใช่โรคเรื้อรัง หรือมาจากกรรมพันธ์ เพราะ ส่วนใหญ่จะเริ่มเป็นในช่วงวัยทำงาน หรือกลางคนที่ดูแล รักษาเข่าไม่ดี หรือผ่านการใช้งานมากเกินไป
 การผ่าตัดปรับรูปร่างเข่า และขาให้ตรงด้วยเทคนิค MHTO ของนพ.สมศักดิ์ เหล่าวัฒนามีจุดเด่นตรงที่ ขนาดแผลที่เล็กลง เสียเลือดน้อย ใช้ระยะเวลาฟื้นตัวที่สั้นลง และเครื่องมือผ่าตัดที่ถูกออกแบบใหม่โดยนพ.สมศักดิ์ เหล่าวัฒนา
 
การผ่าตัดปรับรูปร่างเข่า และขาให้ตรงด้วยเทคนิค MHTO ของนพ.สมศักดิ์ เหล่าวัฒนา มีจุดเด่นตรงที่
 1.Minimal invasive แผลผ่าตัดมีขนาดที่เล็กลง ประมาณ1-1.5 ซม.
 2.Minimal blood loss เสียเลือดน้อยมาก จึงไม่จำเป็นต้องใส่สายระบายเลือดหลังผ่าตัด
 3. Minimal surgical & recovery time ใช้ระยะเวลาผ่าตัดสั้นลง ฟื้นตัวเร็วขึ้น
 4.minimal new designed surgical tools by Dr.Somsak เครื่องมือช่วยผ่าตัดใหม่ออกแบบโดยนพ.สมศักดิ์

แก้ไข ขาโก่ง เข่าชิด ด้วยวิธี MHTO Technique by Dr.Somsak’s ตอนที่ 2
ข้อเสียของการมีเข่าโก่ง ขาโก่ง เข่าฉิ่ง ขากาง มีหลายอย่างโดยเฉพาะทำให้โครงสร้างร่างกายที่ไม่สมดุล มีผลทำให้ข้อเข่า และหลังมีการกระเทือนมากกว่าปกติ มีผลทำให้เกิดอาการปวดเข่า และหลังตามมา เข่าที่มีอาการปวดแบบนี้ ถือว่าเป็นโรคที่ต้องรีบรักษาครับ ไม่ใช่โรคเรื้อรัง หรือมาจากกรรมพันธ์ เพราะ ส่วนใหญ่จะเริ่มเป็นในช่วงวัยทำงาน หรือกลางคนที่ดูแล รักษาเข่าไม่ดี หรือผ่านการใช้งานมากเกินไป
 การผ่าตัดปรับรูปร่างเข่า และขาให้ตรงด้วยเทคนิค MHTO ของนพ.สมศักดิ์ เหล่าวัฒนามีจุดเด่นตรงที่ ขนาดแผลที่เล็กลง เสียเลือดน้อย ใช้ระยะเวลาฟื้นตัวที่สั้นลง และเครื่องมือผ่าตัดที่ถูกออกแบบใหม่โดยนพ.สมศักดิ์ เหล่าวัฒนา
 
การผ่าตัดปรับรูปร่างเข่า และขาให้ตรงด้วยเทคนิค MHTO ของนพ.สมศักดิ์ เหล่าวัฒนา มีจุดเด่นตรงที่
 1.Minimal invasive แผลผ่าตัดมีขนาดที่เล็กลง ประมาณ1-1.5 ซม.
 2.Minimal blood loss เสียเลือดน้อยมาก จึงไม่จำเป็นต้องใส่สายระบายเลือดหลังผ่าตัด
 3. Minimal surgical & recovery time ใช้ระยะเวลาผ่าตัดสั้นลง ฟื้นตัวเร็วขึ้น
 4.minimal new designed surgical tools by Dr.Somsak เครื่องมือช่วยผ่าตัดใหม่ออกแบบโดยนพ.สมศักดิ์

6 วิธี รักษาโรคทางกระดูกสันหลังโดยไม่ต้องผ่าตัด
การรักษาโรคทางกระดูกสันหลัง โดยไม่ต้องผ่าตัด สามารถทำได้หลายวิธี Bangkok Advanced Clinics ขอเสนอ 6 วิธีการรักษาโรคทางกระดูกสันหลัง

Radio Frequency กับการรักษาโรคทางกระดูกสันหลังโดยไมต้องผ่าตัด
Radio Frequency กับการรักษาโรคทางกระดูกสันหลังโดยไมต้องผ่าตัด

การผ่าเข่าโก่งแบบ MHTO ดีอย่างไร? ตอนที่ 1
ดิฉันเจ็บเข่าอยู่นานจึงทำให้ดิฉันต้องหาข้อมูลมาหลายปี และหลายหมอ จากหลายประเทศ หมอหลายท่านลงความเห็นตรงกันว่าต้องผ่าตัดจัดแนวกระดูก โดยคุณหมอสมศักดิ์ เหล่าวัฒนา เป็นหมอคนที่ 9 ที่ดิฉันได้ปรึกษา หลังจากประมวลผลข้อมูลที่ได้มาทั้งหมด จึงเห็นว่าวิธี MHTO ของคุณหมอสมศักดิ์ แตกต่างจากหมอท่านอื่น สุดท้ายดิฉันตัดสินใจบินมาจากรัสเซียเพื่อมาคุยกับคุณหมอสมศักดิ์ คุณหมอให้ความมั่นใจ และตอบข้อสงสัยได้ชัดเจน
พบคุณหมอที่รัสเซียและหมอหลายท่านที่ดิฉันปรึกษา
1. ต้องผ่าตัดมีโลหะอยู่ข้างใน
2. มีแผลใหญ่ประมาณ 5 นิ้ว ซึ่งผู้หญิงไม่ชอบเลยค่ะ
3. มีเข่าเสื่อมพร้อมกัน 2 ข้าง แต่หมอที่รัสเซียและหมอที่เมืองไทยท่านอื่นให้ทำทีละข้าง เราก็ต้องมีชีวิตที่ไม่สบายไม่เป็นปกติ ประมาณ 1-2 ปีติดต่อกัน เพราะว่าทำข้างหนึ่งแล้วอีก 6 เดือนถึง 1 ปี ถึงจะมาทำอีกข้างหนึ่งได้ กรณีของดิฉันเสื่อม 2 ข้างพร้อมกัน ดิฉันเกรงว่าถ้าผ่าไปแล้ว 1 ข้าง อีกข้างหนึ่งจะเสื่อมมากขึ้น เพราะฉนั้นพอเจอคุณหมอสมศักดิ์สิ่งที่แตกต่างจากที่อื่น คือ
พบคุณหมอสมศักดิ์ เหล่าวัฒนา
1. ทำ 2 ข้างพร้อมกัน
2. ไม่มีโลหะฝังข้างใน
3. แผลเกิดนิดเดียว
4. คุณหมออธิบายได้ชัดเจนจริงๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาพบ และมั่นใจ
คุณรติรัตน์ ไพรัตน์ (อายุ 48 ปี)
 จากรัสเซีย

การผ่าเข่าโก่งแบบ MHTO ดีอย่างไร? ตอนที่ 2
1 ปีผ่านไปหลังจากผ่าตัดด้วยวิธี MHTO เหมือนได้เข่าใหม่โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนเข่า สามารถพาตัวเองเดินไปไหนมาไหนได้ รู้สึกดีใจมากที่คุณภาพชีวิตดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากเลยค่ะ












































































































































































































