
โรคที่เกิดจากผ้ารัดประคองเข่าและหลัง
ผ้ารัดหัวเข่า หรือเสื้อรัดประคองหลัง เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เราอาจจะเคยเห็น คนรอบตัวเราใช้กันอยู่สม่ำเสมอ เเต่เพราะการใช้กันอย่างพร่ำเพรื่อไม่ถูกต้อง ไม่ถูกวิธี จึงทำให้มีคนจำนวนมากมาย เกิดเป็นโรคเเทรกซ้อนบางอย่าง เช่น หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน กระดูกสันหลังเสื่อม เข่าเสื่อม ง่ายกว่าคนปกติที่ไม่ได้ ใส่ผ้ารัดเหล่านี้

ในเมืองไทยมีสินค้าทางด้านสุขภาพ วางขายให้เลือกซื้อกันอย่างเสรีมากมายครับ ในบางครั้งก็อาจจะเป็นการดี ในเเง่ของความสะดวกรวดเร็วในการดูเเลรักษา ตัวเองเป็นเบื้องต้น เเต่ในทางตรงกันข้าม บางครั้งความถูกต้องในความเข้าใจของวิธีการใช้สินค้าสุขภาพเหล่านั้น ก็ผิดเพี้ยนไป จนส่งผลย้อนกลับ ทางให้สุขภาพของคนที่ใช้สินค้านั้นๆ เเย่ลง อย่างไม่รู้ตัว 
ผ้ารัดหัวเข่า หรือเสื้อรัดประคองหลัง เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เราอาจจะเคยเห็น คนรอบตัวเราใช้กันอยู่สม่ำเสมอ เเต่เพราะการใช้กันอย่างพร่ำเพรื่อไม่ถูกต้อง ไม่ถูกวิธี จึงทำให้มีคนจำนวนมากมาย เกิดเป็นโรคเเทรกซ้อนบางอย่าง เช่น หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน กระดูกสันหลังเสื่อม เข่าเสื่อม ง่ายกว่าคนปกติที่ไม่ได้ ใส่ผ้ารัดเหล่านี้
นักกีฬามืออาชีพทั้งหลาย เวลาจะลงเล่นกีฬาที่ต้องมีการปะทะกันนั้น เขาจะต้องสวมเครื่องป้องกันร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น เสื้อเกราะสำหรับนักกีฬาอมริกันฟุตบอลใส่กัน เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก หรือนักฟุตบอลที่ต้องใส่ ผ้ารัดหัวเข่าที่พันไว้รอบรอบหัวเข่า ป้องกันเข่าบิดงอ ลดโอกาสที่จะเกิดการบาดเข็บของกระดูก เเละการฉีกขาดของเอ็นทั้งหลายที่อยู่รอบเข่า
เเต่คนทั่วไปที่ไม่ค่อยชอบเล่นกีฬานั้น กล้ามเนื้อหลังจะมีความอ่อนเเอ เป็นทุนเดิมอยู่เเล้ว เวลาที่มีปัญหา ปวดหลัง เเละแก้ปัญหา อย่างง่ายๆ เเต่ผิดวิธีครับ โดยการไปหา เสื้อเการะรัดหลัง มาสวมใส่ ด้วยหวังว่า ผ้ารัดหลังนั้น จะไปช่วยทำให้ กล้ามเนื้อหลัง ทำงานน้อยลง เเละหายปวดหลังได้ หรือคนที่เป็นข้อเข่าเสื่อม ในระยะเเรก นั้น จะมีภาวะที่กล้ามเนื้อต้นขาอ่อนเเอลง เวลาเดินมาทั้งวัน ก็จะมีอาการเมื่อยล้าปวดเข่าเวลากลางคืน หลายคนที่ไม่ทราบความจริง จึงไปซื้อผ้ารัดหัวเข่ามาสวมใส่กันเอง เพราะคิดว่า จะช่วยทำให้ กล้ามเนื้อหัวเข่าทำงานน้อยลง เเล้ว อาการปวดเข่าจะลดลง ตามไปด้วย
เมื่อใส่ใหม่ๆอาการปวดหลัง หรือปวดเข่าอาจจะลดลงครับ ในบางคนจึงเกิดอาการติดใจ ใส่บ่อยขึ้น เเละนานขึ้น ตรงนี้เเหละครับที่จะเกิดปัญหาใหญ่หลวงตามมา เเละเเก้ไขยากมาก นั้นก็คือ จะทำให้กล้ามเนื้อในส่วนที่สวมใส่เกิดภาวะอ่อนเเออย่างมาก จนคาดไม่ถึง
 ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นครับ เหตุผลก็คือ เมื่อท่านใส่ผ้ารัดเข่า หรือผ้ารัดหลังนานๆ นั้น จะทำให้มีการเคลื่อนไหว ของกล้ามเนื้อส่วนนั้น น้อยลงไปอย่างมาก ในกรณีที่เราใส่เป็นเพียง ชั่วคราว อาจจะไม่เห็นผลเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายนัก เเต่ถ้าบางคนใส่อย่างเป็นประจำทุกวัน ใส่วันละหลายชั่วโมง กล้ามเนื้อในส่วนที่อยู่ใต้ผ้ารัดของหัวเข่า หรือรัดหลัง เมื่อไม่ค่อยได้ทำงาน ในการออกเเรงเล็กๆ น้อย อย่างงานในชีวิตประจำวัน ก็จะมีลักษณะลีบ เเละหดตัวเล็กลง ความเเข็งเเรงของกล้ามเนื้อก็จะหมดไป คนกลุ่มนี้ เวลา ขาดผ้ารัดหลัง หรือรัดเข่า ก็จะเดินไม่ได้ เข่าโย้ หรือ ปวดหลังอย่างมาก
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นครับ เหตุผลก็คือ เมื่อท่านใส่ผ้ารัดเข่า หรือผ้ารัดหลังนานๆ นั้น จะทำให้มีการเคลื่อนไหว ของกล้ามเนื้อส่วนนั้น น้อยลงไปอย่างมาก ในกรณีที่เราใส่เป็นเพียง ชั่วคราว อาจจะไม่เห็นผลเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายนัก เเต่ถ้าบางคนใส่อย่างเป็นประจำทุกวัน ใส่วันละหลายชั่วโมง กล้ามเนื้อในส่วนที่อยู่ใต้ผ้ารัดของหัวเข่า หรือรัดหลัง เมื่อไม่ค่อยได้ทำงาน ในการออกเเรงเล็กๆ น้อย อย่างงานในชีวิตประจำวัน ก็จะมีลักษณะลีบ เเละหดตัวเล็กลง ความเเข็งเเรงของกล้ามเนื้อก็จะหมดไป คนกลุ่มนี้ เวลา ขาดผ้ารัดหลัง หรือรัดเข่า ก็จะเดินไม่ได้ เข่าโย้ หรือ ปวดหลังอย่างมาก
เราคงเคยได้ยินเเต่ว่า คนติดเหล้า ติดยาบ้า เเต่คนกลุ่มนี้ เราจะเรียกว่าเป็นโรคติดผ้ารัดหลังเเละเข่าก็ไม่ผิดครับ เพราะถ้าวันไหนออกจากบ้าน เเละลืมผ้ารัดหลัง รัดเข่าไปด้วย ก็จะเกิดความไม่มั่นใจ ไม่สามารถเดินทางไปได้ต่อ ต้องย้อนกลับมาบ้านเพื่อมาเอาผ้ารัดหลังรัดเข่ามาใส่เหมือนเดิม
การใส่ผ้ารัดหลัง หรือรัดเข่านานๆ ทำให้คนที่ความหวังว่า จะฟื้นฟูกล้ามเนื้อที่อ่อนแอ ให้กลับมาแข็งแรงเหมือนเก่า เพื่อที่จะรักษา โรคข้อเข่าเสื่อม หรือกระดูกสันหลังเสื่อมโดยไม่ต้องผ่าตัด จะไม่มีทางที่จะฟื้นฟูได้เลยครับ หรือถ้าได้ก็ต้องใช้เวลานานมากมายกว่าเดิม หลายเท่า
 การใช้ผ้ารัดหลัง หรือรัดเข่าที่ถูกต้อง จึงต้องใช้เป็นเพียง ชั่วคราวเท่านั้น เเละส่วนใหญ่ จะเป็นลักษณะการป้องกันการบาดเจ็บมากกว่าการรักษา เช่น การใส่ผ้ารัดเข่า เวลาลงเล่นฟุตบอลเพื่อป้องกันการฉีกขาดของเอ็นรอบหัวเข่า
การใช้ผ้ารัดหลัง หรือรัดเข่าที่ถูกต้อง จึงต้องใช้เป็นเพียง ชั่วคราวเท่านั้น เเละส่วนใหญ่ จะเป็นลักษณะการป้องกันการบาดเจ็บมากกว่าการรักษา เช่น การใส่ผ้ารัดเข่า เวลาลงเล่นฟุตบอลเพื่อป้องกันการฉีกขาดของเอ็นรอบหัวเข่า
เมื่อมีการฉีกขาดของกล้ามเนื้อ เราก็อาจจะใส่เพื่อลดการเคลื่อนไหว ของอวัยวะส่วนนั้น เมื่อกล้ามเนื้อสว่นนั้น กลับมาสู่ภาวะปกติ การอักเสบลดน้อยลง เราจะต้องรีบถอดผ้ารัดหลัง หรือรัดเข่าออก เเละออกกำลังกาย ฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้กลับมาเหมือนเก่าครับ
ถ้าทำเช่นนี้ได้ ใช้อย่างถูกวิธี โอกาสที่กล้ามเนื้อหลัง หรือเข่าของเราก็จะอ่อนแอโดยไม่ตั้งใจก็มีน้อยลง ไม่ต้องเสริมความเเข็งเเรงโดยผ่าตัดใช้โลหะดามกระดูก ให้หลัง หรือเข่า ในตอนที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม หรือหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม ในระยะสุดท้ายครับ

150 วินาที ห่างไกลโรคปวดหลัง

ผู้เขียนมีโรคประจำตัวคือ โรคปวดหลัง ซึ่งมีสาเหตุจากหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท และเป็นต่อเนื่องมานานร่วมยี่สิบปี ผ่าตัดมาแล้วสองครั้ง นอนรอคิวผ่าตัดครั้งที่สามมาแล้วสามวันที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ก่อนคณะแพทย์มีความเห็นว่าไม่ควรผ่าตัดเพราะอาการไม่รุนแรงถึงขั้นดำรงชีวิตอย่างยากลำบาก ทนทุกข์ทรมานมานานหลายปีได้รับการรักษา และคำแนะนำจากแพทย์หลายท่านที่มากไปด้วยประสบการณ์ รวมทั้งที่ชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งอาการปวดที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวได้ จนวันนี้มีอาการดีขึ้นจึงอยากสรุปความเห็นเผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้ร่วมชะตากรรมคนอื่นๆ
อาการเริ่มต้นครั้งแรกเกิดจากก้มตัวลงยกของอย่างไม่ถูกท่าทาง มีอาการแปลบขึ้นที่กระดูกสันหลังบริเวณบั้นเอว ขณะนั้นขยับขาทั้งสองข้างต่อไม่ได้ รอไม่ถึงห้านาทีเริ่มทุเลาจึงค่อยๆขึ้นรถขับไปหาหมอด้วยตนเอง แต่ยังคงเดินแบบลากขาอย่างช้าๆ หมอที่คลินิคให้ความเห็นว่ากล้ามเนื้อคงอักเสบ จึงฉีดยาแก้ปวดและอักเสบให้ กลับไปบ้านต้องหยุดงานเพราะเดินไม่สะดวกไปสามวัน
หลังจากนั้นอาการแปลบๆข้างต้นก็จะเกิดกับตนเองปีละสองสามครั้งอยู่หลายปี ทุกครั้งต้องหยุดพักผ่อนอย่างน้อยสามถึงสี่วันเพราะลุกเดินไม่ไหว จนไปพบแพทย์ออร์โธปีดิคเฉพาะทางซึ่งนับเป็นกระบี่มือหนึ่งของจังหวัด รักษากันอยู่นานเป็นปี โดยเริ่มจากยากิน ยาฉีด และเอ็กซเรย์แบบคอมพิวเตอร์ติดตามดูอาการ จนสุดท้ายหมอสั่งให้ไปทำเอ็กซเรย์ MRI ที่โรงพยาบาลเอกชลชั้นนำในกรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนั้นมีอยู่แห่งเดียวในประเทศไทย ภาพจากฟิล์มฟ้องว่าหมอนรองกระดูกสันหลังมันปลิ้นออกมาขวางและดันไขสันหลังและเส้นประสาทจนเกิดอาการชาไปถึงหลังเท้า หมอตัดสินใจผ่าตัด เพื่อขูดเอาหมอนรองกระดูกที่แตกออก โดยเปิดแผลคืบนึงที่หน้าท้อง พร้อมทั้งตัดกระดูกเชิงกรานมาแว่นนึงขนาดเท่ากับหมอนรองกระดูกที่ขูดออก อัดเข้าไปรับช่องว่างข้อกระดูกสันหลังแทน ซึ่งแน่นอนมันจะส่งผลให้ข้อต่อส่วนนี้ไม่มีการยืดหยุ่นอีกต่อไป เวลาผ่านไประยะนึงมันก็จะเชื่อมข้อบนและข้อล่างให้ต่อเป็นชิ้นเดียวกัน งานนี้ต้องหยุดพักรักษาแผลไปร่วมเดือน
หลังผ่าตัดก็ยังคงพบแพทย์เพื่อติดตามอาการเป็นระยะๆ จากสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี แต่อาการดูเหมือนมันยังไม่หายขาด แต่ก็ยังถือว่าดีกว่าเก่ามาก สุดท้ายหมอขอแก้ตัวอีกครั้งโดยการผ่าตัดจากด้านหลัง เปิดแผลช่วงกระดูกสันหลังที่มีปัญหา พร้อมยึดโยงข้อกระดูกสันหลังบน และล่างด้วยโลหะ เพื่อเสริมความแข็งแรงไม่ให้เกิดการเสียดสีหรือกดทับเส้นประสาทอีก งานนี้ต้องพักรักษาแผลไปเกือบสามอาทิตย์ แต่ก็พบว่าอาการที่ยังคงชาอยู่ที่หลังเท้าไม่ได้หายขาดไป เลยรู้สึกปลงๆ และไม่สนใจอะไรมากมายอีก นานๆเป็นปีถึงจะเจ็บหนักๆสักครั้งนึง เลยถือโอกาสยอมรับว่ามันคงเป็นอย่างนี้แหละจนเวลาล่วงเลยไปอีกหลายปี
ประมาณปี 2544 ก็เริ่มเกิดอาการปวดระดับต้องนอนพักถี่ขึ้น ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นแพทย์ประจำที่โรงพยาบาลอีกที่หนึ่ง เชี่ยวชาญเรื่องกระดูก เอ็กซเรย์ไปหลายครั้งทั้งธรรมดา และแบบสแกนคอมพิวเตอร์ แต่ก็เห็นไม่ชัดเลยต้องลองทำ MRI อีกครั้ง ปรากฏว่าภาพเกิดแสงสะท้อนมากจนดูไม่รู้เรื่องเพราะมีโลหะอยู่ข้างใน สุดท้ายคุณหมอขอฉีดสีเข้าไขสันหลังเพื่อให้ภาพเอ็กซเรย์ธรรมดาชัดเจนมากขึ้น ช่วยให้การวินิจฉัยแม่นยำ ครั้งนี้พบว่ามีหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทเพิ่มอีกสองตำแหน่ง คือ ข้อบน และข้อล่างของข้อที่เคยมีปัญหามาก่อน ซึ่งคุณหมอบอกว่าเกิดจากข้อที่เสียไปไม่ยืดหยุ่น จึงไปเพิ่มภาระให้กับข้อบนและล่างมากกว่าปกติ เฮ้อ..เวรกรรม ไม่รู้เพราะตอนเด็กไปตีงูหลังหักไปหลายตัวจนตาย กรรมเลยตามสนองในชาตินี้เลยหรือเปล่า
สุดท้ายหมอนัดให้ไปนอนรอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งเพื่อผ่าตัด นอนรออยู่สามวันคณะแพทย์ของโรงพยาบาลนั้น มาแจ้งผลว่ายกเลิกนัดที่จะผ่าตัด เพราะไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะผ่าตัดจุดเดิมซ้ำซากหลายๆครั้ง เลยจำใจอดทนรับการเจ็บปวดปีละหลายครั้งต่อไป จนกระทั่งปี 46 ต้องโยกย้ายไปช่วยงานที่เมืองจีนสามปี ระหว่างอยู่ที่นั่นก็นับว่าโชคดีที่เกิดการปวดรุนแรงไม่บ่อยมาก ส่วนใหญ่พอเริ่มมีอาการเพียงเล็กน้อยก็จะรีบกินยากันไว้ และระวังท่าทางการเคลื่อนไหวไม่ให้เสี่ยงเจ็บเป็นกรณีพิเศษ ทุกครั้งที่กลับมาเยี่ยมครอบครัวที่เมืองไทย ต้องแวะหาหมอเพื่อตรวจอาการ และขอยาไปสำรองไว้ครั้งละร่วมหมื่น มีอยู่หลายครั้งที่กลับมาเยี่ยมบ้านได้รับคำแนะนำให้ไปหาหมอคนนั้น คนนี้ ซึ่งแต่ละท่านมีชื่อเสียงระดับประเทศ ก็ลองไปขอคำปรึกษามาแล้วทั้งนั้น เพื่อสร้างความมั่นใจว่าช่วงทำงานในจีนจะไม่เกิดปัญหาบาดเจ็บรุนแรงจนเสียการเสียงาน
มีคุณหมอท่านหนึ่งของโรงพยาบาลรัฐชื่อดัง สรุปอย่างตรงประเด็นให้ฟังว่า โรคนี้น่ะมันรักษาไม่หายขาดหรอก หากเจ็บบ่อยหรือชาลงขามากก็ผ่าตัดสถานเดียว และถ้าเจ็บจุดอื่นต่อไปก็ต้องผ่าตัดไปเรื่อยๆ แต่มีทางช่วยป้องกันและลดโอกาสการเจ็บปวดได้โดยต้องบริหารกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรงเพื่อยึดโยงกระดูกสันหลังให้มั่นคง ซึ่งฟังดูแล้วก็เห็นคล้อยตามที่หมอบอกเลยว่าจริง แต่หมอสอนท่าบริหารกล้ามเนื้อหลังมาให้หลายท่า ซึ่งใช้เวลาต่อครั้งเกินชั่วโมงและไม่เหมาะกับคนขี้เกียจบริหารตัวเอง และคงไม่จำเป็นต้องรู้ว่าบริหารอย่างไร เพราะผมเองทำอยู่ได้ไม่กี่วันก็ยอมแพ้ เอาเป็นว่าตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่าหัวใจของปัญหาอยู่ที่กล้ามเนื้อหลัง
หลังจากย้ายกลับจากจีนเพราะสุขภาพโดยรวมไม่เอื้ออำนวยให้ลุยงานที่ต้องสมบุกสมบันที่นั่น เมื่อเกิดอาการปวดอีกก็เลยไปพบคุณหมอสมศักดิ์ที่มักจะหาอยู่เป็นประจำที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง คุณหมอเองก็พยายามจะบอกว่า ฟังประวัติการรักษาที่ผ่านมา ถ้าท่านเป็นผู้ผ่าตัดตั้งแต่ครั้งแรกๆ ท่านจะต้องบังคับให้ทำกายภาพบำบัดด้วยตนเองหลังแผลหายดีแล้ว ซึ่งหากทำมาตั้งแต่แรกก็คงจะช่วยทำให้ไม่ต้องมาพบหมออีกเหมือนในตอนนี้ เพราะกายภาพบำบัดโดยบริหารกล้ามเนื้อหลังจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซากอีกต่อไป เพียงแต่เราต้องไม่หลีกเลี่ยงบริหารเป็นประจำทุกวัน ซึ่งหลังจากคุณหมอได้อธิบายให้ฟังวิธีการบริหารแล้วรู้สึกได้เลยว่าหมูมาก และใช้เวลาน้อยมากๆต่อวัน จึงเริ่มทำต่อเนื่องมาได้สองสามเดือนแล้ว รู้สึกว่าแผ่นหลังแข็งแรงขึ้น พร้อมกับหน้าท้องก็เฟิร์มขึ้น ที่สำคัญอาการเจ็บแปลบๆ ที่เป็นบ่อยแต่ไม่รุนแรงหลายเดือนก่อนหน้าหายขาดไปเลย ทั้งที่ช่วงต้นปีเป็นต้นมาชักเริ่มมีปัญหาถี่มาก จนคุณหมอเองยังออกปากว่า ถ้าลองบริหารแล้วไม่ดีขึ้นก็คงต้องผ่าตัดแน่นอน ด้วยก่อนหน้านี้อัดไปทั้งยาฉีด ยารักษา ยาบำรุงเต็มพิกัดแล้ว เมื่อผลออกมาว่าอาการปวดหายเหมือนปลิดทิ้งอย่างนี้ เลยต้องยกเครดิตให้การบริหารกล้ามเนื้อหลังเป็นพระเอกตัวจริง อยากรู้แล้วใช่มั้ยครับว่าทำยังไง
 
 
เอ้าฟังนะ…..ตื่นเช้าทุกวันให้บริหารกล้ามเนื้อหลังดังนี้
- นอนหงายยืดเท้าตรงแนบชิดกัน
- ยกปลายเท้าลอยสูงขึ้นประมาณหนึ่งฟุต (ไม่ควรยกให้สูงกว่านี้)
- ฝืนค้างไว้พร้อมนับสิบวินาที
- ครบแล้วลดปลายเท้าวางลงพักห้าวินาที…ดังนี้คือหนึ่งเซ็ท
- ทำติดต่อกันรวมสิบเซ็ท นั่นหมายถึงใช้เวลาไปรวมร้อยห้าสิบวินาทีต่อวันเท่านั้น
เห็นแล้วยังครับ ว่ามันง่ายมากจริงๆ
- แต่ละสัปดาห์ให้เพิ่มน้ำหนักห้าร้อยกรัมถ่วงไว้ (อาจใช้ถุงทรายที่มีขายทั่วไป)
- น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจะค่อยๆสร้างความแข็งแกร่งให้กล้ามเนื้อหลังเพื่อแก้ปัญหาที่เหตุ
- น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจะสิ้นสุดที่เท่าใดเหรอครับ คุณหมอบอกว่าจนกว่ายกไม่ไหว…แต่
- น้ำหนักขั้นต่ำที่แต่ละคนต้องยกให้ได้มีวิธีคำนวณดังนี้ครับ
น้ำหนักขั้นต่ำที่ต้องยกได้ = น้ำหนักตัว – น้ำหนักท่อนขาสองข้าง / 10 
โดยปรกติน้ำหนักท่อนขาสองข้างประมาณสิบกิโลกรัม ถ้าอ้วนหรือผอมกว่าปกติก็ปรับเพิ่มหรือลดเอาตามความเหมาะสม (อย่าบอกว่าขาสองข้างหนักห้าสิบโลนะ)
หวังว่าวิทยาทานในการบริหารด้วยตนเองวันละร้อยห้าสิบวินาทีจะช่วยให้ผู้เป็นโรคปวดหลังคลายทุกข์ได้ในเร็ววันนี้นะครับ และขอให้ผลบุญที่ช่วยให้ผู้อื่นคลายทุกข์จงอย่าได้มีอาการปวดหลังมากล้ำกลายข้าพเจ้าอีกต่อไปเลย
ส่งต่อมากๆก็ได้บุญอีกมากๆนะครับ
วิวัฒน์   อัครวิเนค
คนไข้คุณหมอสมศักดิ์ เหล่าวัฒนา
7 สิงหาคม 2550

การฉีดยาสลายพังผืดช่องไขประสาทหลังผ่านทางผิวหนัง (P.E.N)
เทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่สามารถ รักษาโรคปวดหลังได้หลายชนิด โดยไม่ต้องผ่าตัดหลังครับ โดยใช้เครื่องมือชนิดใหม่จากต่างประเทศที่มีรายละเอียด ดังนี้ครับ
1.เครื่องมือตัวนี้ ได้ถูกออกแบบมาใหม่ มีชื่อว่า PCM (Pain Control Manipulator) โดยมีด้ามจับ ต่อกับสายที่มีขนาดเล็กมาก คือมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 มม. ยาว 30 ซม. ตรงปลายท่อเล็กๆนี้ ยังซ่อนท่อเล็กกว่า สำหรับใช้ฉีดยา สายเล็กๆนี้จะค่อยๆถูกสอดเข้าไปในช่องด้านหลังกระดูกเชิงกราน บริเวณเหนือก้นกบ แล้วเลื้อยขึ้นไปด้านบนที่ช่องกระดูกสันหลังส่วนเอวที่ติดต่อกัน ไปถึงจุดที่มีพังผืดไปรัด

2.ตำแหน่งของช่องกระดูกสันหลังส่วนเอวที่เป็นพื้นที่ที่ก่อโรค สามารถเข้าถึงจากการสายของ PCM ที่สอดขึ้นไปหาจากด้านล่าง



3.สามารถเลาะ ตัด พังผืดรอบถุงไขประสาทได้ เรียกว่า Mechanical Lysis เพราะมีตัวควบคุมการเคลื่อนไหวปลายท่อ ทำให้สามารถเลื้อยเคลื่อนไหวไปมา และเลาะตัด พังผืดที่อยู่รอบถุงไขประสาท ให้หลุดออกจากการกดทับ หรือ ดึงรั้งเส้นประสาทได้

4.มีช่องที่ด้ามจับ ทำให้สามารถฉีดยา แก้อักเสบ ยาละลายพังผืดตรงจุดก่อโรคในคราวเดียวกัน ได้หลายตำแหน่งของช่องกระดูกสันหลัง ซ้ายและขวา จากการสอดสายเข้าไปเพียงตำแหน่งเดียว


จุดเด่นเทคนิคการสลายพังผืดช่องไขประสาทหลังผ่านทางผิวหนัง
Percutaneous Epidural Neuroplasty มีดังนี้
1.ไม่ต้องเปิดแผลผ่าตัดขนาดใหญ่ แผลมีขนาดเล็กกว่าการส่องกล้องผ่าหลัง
2.มีเสียเลือดน้อยมาก เนื่องจากเป็นการสอดสายเล็กๆเข้าไปในช่องที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติของกระดูกเหนือก้นกบ
3.ผู้ป่วยที่ใช้วิธีนี้ ก็ไม่ต้องหยุดงาน ไม่ต้องนอนพักรักษาตัวโรงพยาบาล
4.ผู้ป่วยที่รักษาวิธีนี้ไม่ต้องวางยาสลบ หรือ บล้อคหลัง
5.นอกจากนี้ หลังทำเสร็จแล้วไม่ต้องมีการเย็บแผลเนื่องจากแผลมีขนาดเล็กมาก ประมาณ3-5 ม.ม.
6. หลังทำเสร็จนอนพักในห้องพักฟื้น สาม-สี่ชั่วโมงแล้วก็กลับบ้านได้
จุดมุ่งหมายของการทำ การสลายพังผืดช่องไขประสาทผ่านทางผิวหนัง (Percutaneous Epidural Neuroplasty)

จากความจริงทางการแพทย์ที่ค้นพบ ว่า พังผืด หรือ Scar Fibrosis ที่เกิดขึ้นรอบช่องไขประสาทมีส่วนที่สำคัญที่ทำให้ เส้นประสาทถูกกดทับ อักเสบ เลือดแดงไม่สามารถผ่านเข้าไปหล่อเลี้ยงเส้นประสาทได้เต็มที่ และนำหล่อเลี้ยงไขประสาทที่นำอาหารมาให้เซลประสาทเคลื่อนลื่นไหลไม่ดี ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหลัง และร้าวลงขามาก โดยจะพบพังผืดมากในโรคต่อไปนี้
1.ผู้ป่วยที่เคยถูกผ่าตัดหลังมาก่อน แต่ไม่มีการดูแลรัการะบบโครงสร้างกล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังต่อเนื่อง
2.ผู้ป่วยหมอนรองกระดูกสันหลัง หรือ กระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาทเป็นระยะเวลาหนึ่ง
3.ผู้ป่วยที่มีอายุมาก กระดูกสันหลังเสื่อม ช่องกระดูกสันหลังแคบ หรือ ตีบ มีการอักเสบบริเวณหลังเรื้อรัง
ขั้นตอน
การทำการสลายพังผืดช่องไขประสาทผ่านทางผิวหนัง (Percutaneous Epidural Neuroplasty)
1.อดอาหาร น้ำ ก่อน 6-8 ชั่วโมง
2.ทำในห้องที่ควบคุมความสะอาด เช่น ในห้องผ่าตัด และต้องใช้เครื่องมือ C-Arm X-Ray ซึ่งเป็นเครื่อง x ray ที่เห็นภาพในทันที(Real Time)จากจอมอนิเตอร์ไม่ต้องรอดูจากฟิล์ม เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของสายและปลายท่อให้ไปถึงจุดที่ต้องการบริเวณเอว
3.ผู้ป่วยนอนคว่ำ โดยผุ้ป่วยรู้ตัวตลอดเวลาที่มีการทำการเลาะตัดพังผืด และฉีดยา สามารถพูดคุยกับหมอได้ตลอดเวลา โดยใช้เวลาทำ ตั้งแต่ 5 -15 นาที ขึ้นอยู่กับต้นเหตุของโรคบริเวณกระดูกสันหลังส่วนเอวมีกี่ตำแหน่ง


ภาพแสดง ขั้นตอนการทำ Percutaneous Epineural Neuroplasty
4.ทำความสะอาดผิวหนังตำแหน่งที่จะสอดสายเข้าไป ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไปที่ใช้ในห้องผ่าตัด
5.ฉีดยาชาเฉพาะจุด เพื่อทำให้ผุ้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บขณะที่สอดสายท่อเล็กๆขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ม.ม. ผ่านผิวหนัง ค่อยๆสอดท่อเข้าไป โดยดูตำแหน่งของสาย จาก C Arm X-ray หรือ Bi Plane X ray

6.เมื่อปลายสายของ PCM(Pain Control Manipulator)ไปถึงตำแหน่งที่ต้องการ เช่น หมอนรองกระดูกกดทับอยู่ที่ข้อเอว 4-5 จะมีการฉีดยาละลายพังผืด และยาแก้อักเสบ รวมทั้งมีการควบคุมให้ปลายสายให้เคลื่อนไหวไป เลาะพังผืดที่อยู่หน้าถุงไขประสาทให้หลุดออกไปทำให้ช่องไขประสาทมีพื้นที่กว้างขึ้น


7.ใช้เวลาฉีด และสลายพังผืดประมาณ 1-2 นาที่ต่อหนึ่งปล้องกระดูกสันหลัง ก็ดึงสาย ออกมาหมด ทำความสะอาดแผลผิวหนังที่ตรงตำแหน่งที่สอดสาย ปิดแผลด้วย พลาสเตอร์เป็นเสร็จขั้นตอน ให้ผู้ป่วยพลิกตัวนอนหงายได้ และนำผู้ป่วยไปพักฟื้นที่ห้องพักฟื้น ประมาณ 3-4 ชั่วโมงก่อนอนุญาตใหผู้ป่วยกลับบ้านได้ และนัดตรวจใน 3-7 วันต่อมา


ผลที่เกิดขึ้น จากเทคนิค การสลายพังผืดรอบไขประสาทหลังผ่านทางผิวหนังนี้ มีสองระยะครับ
1.ผลที่เกิดขึ้นทันที
-ลดอาการปวดหลัง ร้าวลงขาได้ทันที จากยาชา ยาอักเสบที่ฉีดเข้าไปตรงจุดมากกว่าวิธีการฉีดยาเข้าช่องไขประสาทวิธีอื่น
-เพิ่มความกว้างของช่องไขประสาท จากยาละลายพังผืด
2.ผลระยะยาว
-เลาะ ทำลายพังผืดที่อยู่รอบๆช่องไขประสาท
-เพิ่มช่องว่างรอบๆขั้วเส้นประสาท
-ช่องว่างที่เพิ่มขึ้น ทำให้ยาที่ฉีดเข้าไปได้อย่างทั่วถึงในบริเวณที่เป็นต้นเหตุของโรคมากกว่า

ผู้ที่เหมาะสมที่จะทำเทคนิค การสลายพังผืดรอบไขประสาทหลังผ่านทางผิวหนัง (P.E.N)
•โรคปวดหลังเรื้อรัง รักษาโดยการทานยา ทำกายภาพไม่ดีขึ้น รวมทั้งโรคปวดหลังที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดหลัง
•หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน โรคกระดูกสันหลังเคลื่อน
•เส้นประสาทหลังอักเสบ จาก
–กระดูกงอกกดทับ
–พังผืดที่เกิดขึ้นจากเยื่อหุ้มช่องไขประสาทหนาตัว
–ช่องไขประสาทตีบ ตัน
•ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องผ่าตัด แต่ร่างกาย อายุ โรคประจำตัวไม่อำนวย
•ผู้ป่วยที่กลัวการผ่าตัดหลัง อย่างมากมาย แต่ไม่สามารถทนทรมานจากอาการที่มีอาการปวดหลัง ร้าวลงขามาก
ข้อจำกัดในการใช้วิธีนี้
1.ควรทำโดยแพทย์ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ
2.ต้องใช้เครื่อง C arm X-ray ที่ไม่มีในทุกโรงพยาบาล
3.ผู้ป่วยต้องให้ความร่วมมือ 4. รักษาได้เฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นในตำแหน่งกระดูกสันหลังส่วนเอวเท่านั้น
ข้อห้ามทำ
-ติดเชื้อในกระแสเลือด
-ติดเชื้อเรื้อรัง
-มีแผลอักเสบที่ผิวหนังบริเวณที่จะใส่สาย
-โรคเลือด
-โรคหัวใจที่รุนแรง
-ผู้ป่วยปฏิเสธ
-โรคซึมเศร้ารุนแรง !!
ข้อมูลด้านสถิติ
การรักษาด้วยวิธี เทคนิค การสลายพังผืดรอบไขประสาทหลังผ่านทางผิวหนัง (P.E.N)
ในประเทศเกาหลีได้มีการรักษาด้วยวิธีนี้เป็นจำนวนมาก ทุกโรงพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลด้านกระดูกสันหลัง, ดังเห็นได้จาก ข้อมูลของโรงพยาบาล Cheonan Woori Hospital ซึ่งเป็นโรงพยาบาลรักษาด้านกระดูกสันหลังอย่างเดียว ในช่วงปี 2011 ทั้งปี มีจำนวนผู้ป่วยที่ถูกผ่าตัดหลัง ประมาณ 2000 ราย แต่มีผู้ที่ได้รับการรักษาวิธี การสลายพังผืดช่องไขประสาทสันหลังส่วนเอวผ่านทางผิวหนังเป็นจำนวนมากถึง 847 ราย โดยมีอัตราการหายปวดจากโรคที่เป็น มากกว่า 90 % มีอัตราการฉีดซำภายใน 1 ปี 1 % ไม่ได้ผลจำเป็นต้องผ่าตัดเข้าไปรักษา 4 %(ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก Cheonan Woori Hospital)







เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อท่านหายจากอาการปวดหลัง ร้าวลงขาแล้ว ก็จำเป็นต้องมีการดูแล บริหารออกกำลังกายระบบโครงสร้างของกล้ามเนื้อ และกระดูกสันหลังให้แข็งแรงสมดุลกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะ การบริหารกล้ามเนื้อแกนกลางของร่างกาย ที่เรียกว่า Core Muscle โดยมีหลักการ และวิธีการที่เฉพาะ แต่ส่งผลดีต่อกล้ามเนื้อหลังและกระดูกสันหลังอย่างมาก ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป ในครั้งหน้าครับ
วิธี การสลายพังผืดช่องไขประสาทหลังผ่านทางผิวหนังโดยใช้สายเล็กๆนี้ ถึงแม้จะปลอดภัยสูง ความเสี่ยงน้อย แต่ถ้าเราไม่แก้ไขที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง โอกาสจะหายขาดจากโรคปวดหลังก็จะมีน้อยลงครับ ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษา ด้วยการสลายพังผืดช่องไขประสาทผ่านทางผิวหนัง จึงจะต้องเข้าโปรแกรมการฝึกบริหารกล้ามเนื้อหลังชั้นในให้แข็งแรงอย่างถูกต้องเท่านั้น จึงจะเรียกว่า เป็นการรักษาที่สมบูรณ์โดยสามารถทำที่บ้านและทำอย่างสม่ำเสมอที่บ้านครับ



“ปวดหลัง”ผ่าตัดทางเลือกสุดท้าย ตอนที่ 1
“ปวดหลัง” ผ่าตัดทางเลือกสุดท้าย ตอนที่ 1
มีถึง 12 วิธี หรือ 12แนวทางการปฏิบัติตัวครับ ที่จะป้องกันหรือหลีกเลี่ยง ไม่ให้โรคปวดหลังนั้นลุกลามไปทำร้ายเส้นประสาทหลัง อันเป็นต้นเหตุที่สำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยต้องถูกผ่าตัดหลังหมดโอกาสที่จะรักษาด้วยวิธีอื่น เป็น 12 วิธี ที่ได้มาจากการรวบรวมข้อมูลของผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลัง แต่ปฏิบัตตัวไม่ถูกต้องเพราะความเข้าใจผิด ดื้อ ทำตามเพื่อนผู้หวังดี แต่ไม่มีความรู้ และไม่ทำตามคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษา


จากสถิติทางการแพทย์เราพบว่า ในช่วงชีวิตของคนทุกคน ตั้งแต่เด็กจนกระทั้งแก่เฒ่า จะมีโอกาสปวดหลังชนิดรุนแรงอย่างน้อยก็หนี่งครั้งในชีวิตครับ แต่ก็เป็นหนึ่งครั้งที่มีความสำคัญมาก เพราะถ้าเราดูแล รักษาไม่ถูกวิธีตั้งแต่ครั้งแรก โอกาสที่โรคปวดหลังจะเรื้อรัง และลุกลามก็จะมีสูงขึ้น จนกระทั่งรักษาด้วยยาไม่หาย และ สุดท้ายก็ต้องถูกผ่าตัดหลัง
 อาการปวดหลังชนิดรุนแรงนั้น จะมีลักษณะเฉพาะ ที่เวลาเกิดขึ้นแล้ว ตัวจะแข็ง หลังจะแข็ง ไม่สามารถเดิน หรือยืนได้นานๆ เวลาเผลอเอี้ยวตัว หรือก้มหลัง เพียงเล็กน้อย ก็จะเสียวแปล้บ เจ็บ หรือปวดอย่างรุนแรง ต้องเดินตัวแข็งเหมือนหุ่นยนต์ บางคน อาจจะมีอาการเจ็บเสียวลงไปถึงขา เหมือนใครมาฉีกกล้ามเนื้อ มีอาการชาที่ต้นขา หรือน่องตามมาด้วย
 
  กระดูกสันหลังของคนเราก็เหมือนกับเสากระโดงของเรือใบ โดยที่มีเชือกขึงตึงอยู่ทั้งสองข้าง เส้นเขือกที่ขึงตึงอยู่ข้างเสากระโดงเรือก็คือกล้ามเนื้อที่ประคองกระดูกสันหลัง ต้นเหตุที่เกิด มักจะเกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อหลังมัดนี้อย่างรุนแรง โดยจะเป็นกับกล้ามเนื้อหลังชั้นใน ที่มีหน้าที่คอยประคับประคองกระดูกสันหลัง (Paraspinal Muscles) อยู่สองข้าง กล้ามเนื้อมัดนี้มีความสำคัญมากครับ เพราะเนื่องจากการที่กล้ามเนื้อมัดนี้อยู่ใกล้ชิดกระดูกสันหลัง จึงมีหน้าที่คอยป้องแรงกระแทกที่จะเกิดขึ้นที่หมอนรองกระดูกสันหลัง แต่คนบางคนปล่อยปละละเลย ไม่ได้หมั่นดูแลกล้ามเนื้อมัดนี้ให้แข็งแรงอยู่อย่างสม่ำเสมอ ทำให้เกิดความอ่อนแอของกล้ามเนื้อมัดนี้ (Paraspinal Muscles) เมื่อมีแรงมากระแทกที่หลังมาก และผิดจังหวะ เช่น ก้มหลังยกของหนัก ไอ หรือจามอย่างรุนแรง เอี้ยวตัวผิดจังหวะ โอกาสที่กล้ามเนื้อมัดนี้จะบาดเจ็บ และมีการอักเสบก็จะมีสูงขึ้น บางครั้งก็รุนแรงมากจนกระทั่งผลักให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนออกมาทับเส้นประสาทที่อยู่ข้างเคียง เกิดอาการปวดหลังชนิดที่มีอาการของการอักเสบของเส้นประสาทร่วมด้วย
อาการปวดหลังที่มีต้นเหตุที่เกิดจากเส้นประสาทที่มาจากกระดูกสันหลังและลงมาเลี้ยงขานั้น จะมีลักษณะที่แตกต่างจากการอักเสบของกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว ดังนี้ครับ

- อาการปวด โดยที่ความรู้สึกปวดนั้นไม่ได้อยู่ที่หลังอย่างเดียว แต่จะลามมาที่แก้มก้น ต้นขา หรือน่อง
 ข้างใดข้างหนึ่ง และมักจะไม่ย้ายข้าง ปวดขาข้างใด ก็จะปวดข้างนั้นตลอด
- อาการชา โดยจะมีอาการชา สองแบบครับ แบบแรกจะมีความรูสึกชาชนิดที่ไวต่อความรู้สึกเร็วขึ้น Hypersensitive Feeling) ลักษณะที่ชาจะคล้ายกับที่เรานั่งทับขาจนเกิดอาการเหน็บชา เหมือนเข็มตำหรือมดไต่ที่ขา เมื่อเป็นมากขึ้น ก็จะชาแบบไวต่อความรู้สึกน้อยลง (Hyposensitive Feeling) ความรู้สึกที่
 ผิวหนังจะเหมือนกับว่า ชั้นผิวหนังจะหนาขึ้น เมื่อมีเข็มตำ จะไม่ค่อยรู้สึกถึงความแหลม จะมีอาการชาเป็นหย่อมๆ ไม่ใช่ทั้งขา เช่น ชาที่ต้นขาเป็นวงกว้างเท่าลูกมะนาว และอาจจะลุกลามขยายเป็นวงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
- อาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อขา เท้าเดินขาอาจจะกะเผลก เดินแล้วเข่า หรือ ข้อเท้าทรุด ล้มเองบ่อยๆ เดินสะดุดปลายเท้าง่าย ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่า กล้ามเนื้อของขาข้างใดข้างหนึ่งอาจจะมีขนาดลีบ เล็กลงกว่าอีกข้าง โดยที่ระยะนี้เป็นระยะที่ผู้ป่วย ปล่อยให้โรคนี้เรื้อรัง จนลุกลาม ทำร้ายเซลประสาทมากเกินไป กระแสประสาทที่ส่งลงมาเลี้ยงและกระตุ้นกล้ามเนื้อขาน้อยลงติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ กล้ามเนื้อเมื่อไม่สามารถบีบ รัดหดตัว หรือเคลื่อนไหว ขนาดของ
 เส้นใยกล้ามเนื้อจึงลดลงครับ
- อาการสุดท้าย คือ การสูญเสียระบบประสาทอัตโนมัติที่เส้นประสาทหลังนั้นควบคุมอยู่ เช่น การกลั้นปัสสาวะ หรืออุจจาระไม่ได้ เหงื่อตามผิวหนังออกน้อยลง ถ้าเราปล่อยให้เป็นถึงระยะนี้โอกาสที่จะรักษา แล้วจะหายกลับมาปกติเหมือนเก่าก็จะมีน้อยมากครับ


“ปวดหลัง”ผ่าตัดทางเลือกสุดท้าย ตอนที่ 2
“ปวดหลัง” ผ่าตัดทางเลือกสุดท้าย ตอนที่ 2
ในทางการแพทย์มีการพบว่า ในครั้งแรกที่ มีหมอนรองกระดูกเคลื่อนออกมาทับเส้นประสาทจนคนไข้มีอาการปวดหลังร้าวลงขานั้น การรักษา เพียงแค่ นอนพักสักระยะเวลาหนึ่งในเวลา 5-14 วันแรก พยายามไม่ให้มีการ เคลื่อนไหวมากนัก โอกาสที่หมอนรองหระดูกสันหลังจะยุบบวมก็จะมีมากชึ้น เมื่อไม่มีอาการลุกลาม จากการที่หมอนรองกระดูกออกมาทับเส้นประสาทมากขึ้น หรือ หมอนรองกระดูกแตก จึงทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จในการรักษาให้หายขาดได้โดยไม่ต้องผ่าตัดหลัง มากกว่า 95%

ต่อไปนี้ คือข้อปฎิบัติ 12 ข้อที่อาจจะช่วยคนปวดหลังแบบรุนแรงให้หายขาดได้ โดยไม่ถูกผ่าตัดหลังครับ 12 วิธีหลีกเลี่ยงการถูกผ่าตัดหลังนั้น สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังตั้งเเต่น้อยๆ จนกระทั่งเป็นมากเดินไม่ได้ มีอาการขาชา หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง ทั้งนี้ ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ มาจากการเฝ้าสังเกตการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังแบบรุนแรง และสุดท้ายต้องลงเอยที่การถูกผ่าตัดหลังนั้น พบว่า มีพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องซ้ำๆ ของตัวผู้ป่วยเองที่ไปกระตุ้น ทำให้โรคลุกลามและมีอาการมากขึ้น
12 วิธี มีดังต่อไปนี้ครับ
- ถ้าเเพทย์บอกว่าพัก ต้องหยุดพักจริงๆ ครับ คนรุ่นใหม่ที่ขยันทำงานในปัจจุบันนี้ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยเพียงเล็กน้อย ก็มักไม่ค่อยยอมลางานหยุดพัก ห่วงงานมากกว่า ถึงแม้ว่าแพทย์จะแนะนำให้หยุดก็จะไม่ยอม แต่ในเรื่องของอาการปวดหลังแบบรุนแรงนั้น จะใช้แนวความคิดแบบเดิม หรือปฎิบัติตัวแบบเดิมๆ คงจะไม่ได้ครับ 
ในทางการแพทย์มีการพบว่า ในครั้งแรกที่ มีหมอนรองกระดูกเคลื่อนออกมาทับเส้นประสาทจนคนไข้มีอาการปวดหลังร้าวลงขานั้น การรักษา เพียงแค่ นอนพักสักระยะเวลาหนึ่งในเวลา 5-14 วันแรก พยายามไม่ให้มีการ เคลื่อนไหวมากนัก โอกาสที่หมอนรองหระดูกสันหลังจะยุบบวมก็จะมีมากชึ้น เมื่อไม่มีอาการลุกลาม จากการที่หมอนรองกระดูกออกมาทับเส้นประสาทมากขึ้น หรือ หมอนรองกระดูกแตก จึงทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จในการรักษาให้หายขาดได้โดยไม่ต้องผ่าตัดหลัง มากกว่า 95% แต่ถ้าเราไม่ยอมหยุดพักในช่วงแรกๆ ที่หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนใหม่ๆ โอกาสที่จะหายขาดโดยไม่ต้องผ่าตัดนั้นจะลดลงเรื่อยๆ ขึ้นครับ อยู่กับว่า จะมีอาการปวดหลังแบบรุนแรงในชีวิตกี่ครั้ง บางคนมีโอกาสรอดจากมีดหมอผ่าตัดได้ไม่ถึง 60% ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากครับ เพียงเพราะว่า เราห่วงงานมากกว่าหลังของตัวเอง บางคนก็อาจจะเกรงใจเพื่อนร่วมงาน หรือหัวหน้างาน
ในทางกลับกัน ถ้าคนไข้ต้องถูกผ่าตัดหลัง ก็จะต้องเสียเวลา ลาหยุดงานนานกว่า 1 เดือน เพื่อพักฟื้นหลังผ่าตัด ลองคิดดูนะครับถ้าตัดใจยอมหยุดพักงาน ตั้งแต่ครั้งแรกที่หมอบอก อาจจะเสียเวลาบ้างแต่หลังไม่ต้องถูกผ่า
 ทำไมการนอนพักอยู่บนเตียง ประมาณ 1-2 สัปดาห์ จะช่วยทำให้สามารถรักษาอาการปวดหลังจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทให้หายขาดโดยไม่ต้องผ่าตัดหลังได้มากถึง 95% เหตุผล เพราะว่าในช่วงเวลาที่หมอนรองกระดูกเคลื่อนออกมาทับเส้นประสาทหลังใหม่ๆ นั้น ถ้าผู้ป่วย ยังคงนั่งหรือยืน หรือ เดินอยู่ จะมีน้ำหนักของตัวผู้ป่วย ไปกด กระดูกสันหลังตลอดเวลา ทำให้เหมือนมีเเรงดันที่หมอนรองกระดูกอยู่ตลอดเวลา โอกาสที่หมอนกระดูกสันหลังจะยุบตัวกลับเข้าที่เดิมหรือลดการอักเสบ บวมก็จะมีน้อยลง เมื่อเทียบกับการนอนพักเฉยๆ
ทำไมการนอนพักอยู่บนเตียง ประมาณ 1-2 สัปดาห์ จะช่วยทำให้สามารถรักษาอาการปวดหลังจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทให้หายขาดโดยไม่ต้องผ่าตัดหลังได้มากถึง 95% เหตุผล เพราะว่าในช่วงเวลาที่หมอนรองกระดูกเคลื่อนออกมาทับเส้นประสาทหลังใหม่ๆ นั้น ถ้าผู้ป่วย ยังคงนั่งหรือยืน หรือ เดินอยู่ จะมีน้ำหนักของตัวผู้ป่วย ไปกด กระดูกสันหลังตลอดเวลา ทำให้เหมือนมีเเรงดันที่หมอนรองกระดูกอยู่ตลอดเวลา โอกาสที่หมอนกระดูกสันหลังจะยุบตัวกลับเข้าที่เดิมหรือลดการอักเสบ บวมก็จะมีน้อยลง เมื่อเทียบกับการนอนพักเฉยๆ
ผลก็คือเมื่อผ่านช่วงเวลา 2 สัปดาห์ที่หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนออกมา หมอนรองกระดูกก็จะบวม อักเสบนานขึ้น จนอาจจะทับเส้นประสาทหลังอย่างถาวร และถ้าเส้นประสาทสันหลังถูกทับมากขึ้นหรือนานจนเกินไป เลือดที่นำอาหารไปหล่อเลี้ยงเส้นประสาทบริเวณนั้นไม่ได้ เซลประสาทก็จะตายลงมากขึ้นเรื่อยๆ จนผู้ป่วยมีอาการมากขึ้น เช่น ขาชาเป็นวงใหญ่ขึ้น ขาอ่อนแรงมากขึ้น เดินขึ้นบันไหเท้าตกไม่มีแรง แพทย์ที่ดูแลก็มักจะแนะนำการรักษาโดยการผ่าตัด เอาหมอนรองกระดูกออกเพราะว่า ถ้าขืนปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป โอกาสที่เซลประสาทจะฟื้นฟูกลับมาเหมือนเก่าก็จะเหลือน้อย ถึงแม้จะผ่าตัดไปแล้วก็อาจจะไม่ฟื้นฟูเหมือนเก่า เพราะฉะนั้น ถ้าแพทย์รักษาโรคปวดหลัง บอกให้ท่านหยุดงาน ท่านต้องหยุดจริงๆ ครับ ก่อนที่จะสายเกินไป


“ปวดหลัง”ผ่าตัดทางเลือกสุดท้าย ตอนที่ 3
“ปวดหลัง” ผ่าตัดทางเลือกสุดท้าย ตอนที่ 3
เมื่อแพทย์ส่ง X Ray ที่หลัง อาจจะพบว่ารูปร่างกระดูกสันหลังไม่ได้ตั้งตรง เหมือนกับคนปกติ อาจจะเห็นรูปร่างที่คด หรือโก่งเล็กน้อย หลายคนอาจจะกังวลใจคิดว่า อาการปวดหลังที่เป็นมานานนั้น แท้จริงก็มาจากรูปร่างกระดูกสันหลังที่คดนี่เอง จึงพยายามไปหานักกายภาพจัดกระดูก (Chiropractors) ที่มีใบอนุญาตบ้าง ไม่มีบ้าง ให้จัดดัดกระดูก หรือ ดึงหลังให้ เพราะคิดว่า การทำเช่นนั้นสามารถทำให้กระดูกสันหลังกลับมาตรงได้เหมือนเดิม โดยไม่รู้ตัวว่า การมีความคิดที่ยึดแน่นแบบนี้จะก่อให้เกิดข้อผิดในการรักษาโรคปวดหลังหลายข้อด้วยกัน
ข้อปฎิบัติตัว ข้อที่ 2. “อย่าไปคิดว่า อาการปวดหลังมีสาเหตุจากรูปร่างกระดูกสันหลังที่คดโก่ง ไม่ตรง” มีผู้ป่วยหลายๆ คนครับที่มีอาการปวดหลังเรื้อรัง แล้วไปพบแพทย์ เมื่อแพทย์ส่ง X Ray ที่หลัง อาจจะพบว่ารูปร่างกระดูกสันหลังไม่ได้ตั้งตรง เหมือนกับคนปกติ อาจจะเห็นรูปร่างที่คด หรือโก่งเล็กน้อย หลายคนอาจจะกังวลใจคิดว่า อาการปวดหลังที่เป็นมานานนั้น แท้จริงก็มาจากรูปร่างกระดูกสันหลังที่คดนี่เอง จึงพยายามไปหานักกายภาพจัดกระดูก (Chiropractors) ที่มีใบอนุญาติบ้าง ไม่มีบ้าง ให้จัดดัดกระดูก หรือ ดึงหลังให้ เพราะคิดว่า การทำเช่นนั้นสามารถทำให้กระดูกสันหลังกลับมาตรงได้เหมือนเดิม โดยไม่รู้ตัวว่า การมีความคิดที่ยึดแน่นแบบนี้จะก่อให้เกิดข้อผิดในการรักษาโรคปวดหลังหลายข้อด้วยกัน ครับ
 ประการแรก ในคนปกติทุกคนถ้าจับมา X Ray หลัง ไม่ใช่ทุกคนนะครับ ที่จะมีกระดูกสันหลังที่ตั้งตรงสวยงาม มีคนอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยเลยครับที่ไม่ได้มีอาการปวดหลัง แต่เมื่อจับมา X Ray หลัง พบว่ากระดูกสันหลังก็ไม่ได้ตั้งตรง อาจจมีคดได้ ในกรณีอย่างนี้ทางการแพทย์ถือว่า เป็น Normal Variation ครับ หมายความว่า การที่คนเรามีอวัยวะบางส่วนผิดเพี้ยนไป อาจจะไม่ใช่เป็นโรคทั้งหมดครับ เช่น คนเราที่มีแขนยาวไม่เท่ากัน จมูกโด่งไม่เหมือนกัน ในเมื่อมันไม่ใช่โรคแล้ว เรามัวไปเสียเวลา เสียเงินทองไปดัดหลัง ไปจัดกระดูก จึงไม่มีทางที่จะหายจาก โรคปวดหลังได้ครับ
ประการแรก ในคนปกติทุกคนถ้าจับมา X Ray หลัง ไม่ใช่ทุกคนนะครับ ที่จะมีกระดูกสันหลังที่ตั้งตรงสวยงาม มีคนอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยเลยครับที่ไม่ได้มีอาการปวดหลัง แต่เมื่อจับมา X Ray หลัง พบว่ากระดูกสันหลังก็ไม่ได้ตั้งตรง อาจจมีคดได้ ในกรณีอย่างนี้ทางการแพทย์ถือว่า เป็น Normal Variation ครับ หมายความว่า การที่คนเรามีอวัยวะบางส่วนผิดเพี้ยนไป อาจจะไม่ใช่เป็นโรคทั้งหมดครับ เช่น คนเราที่มีแขนยาวไม่เท่ากัน จมูกโด่งไม่เหมือนกัน ในเมื่อมันไม่ใช่โรคแล้ว เรามัวไปเสียเวลา เสียเงินทองไปดัดหลัง ไปจัดกระดูก จึงไม่มีทางที่จะหายจาก โรคปวดหลังได้ครับ
ประการที่สอง มีภาวะบางอย่างครับที่สามารถทำให้กระดูกสันหลังคดแบบชั่วคราวได้ เช่น กล้ามเนื้อหลังอักเสบที่บั้นเอว การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ การมีกล้ามเนื้อสองข้างของกระดูกสันหลังแข็งแรงไม่เท่ากัน สาเหตุต่างๆ เหล่านี้ถ้าได้รับการแก้ไขที่ต้นเหตุอย่างถูกวิธี กระดูกสันหลังก็จะกลับมามีรูปร่างที่ตั้งตรงเหมือนเดิม แต่ถ้าเราคิดว่า การดึง หรือจัดกระดูกจะช่วยให้หลังตั้งตรงคงต้องกลับไปคิดใหม่แล้วครับ เพราะในทางตรงกันข้าม การจัดกระดูกสันหลัง และการไปดัดกระดูกสันหลังจะทำให้เกิดแรงกระเทือนบริเวณหมอนรองกระดูกสันหลัง และกระดูกสันหลังอย่างมากมาย ถ้าท่านเป็นผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังแบบรุนแรง โดยไม่รู้ว่า ต้นเหตุนั้นเกิดจากหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนหรือไม่ การมีอาการอักเสบที่กล้ามเนื้อหลังเล็กน้อย พอไป X Ray หลังแล้วพบว่า มีการะดูกสันหลังคด ก็ตกใจ แทนที่จะไปพักตามเหตุผลดังข้อปฏิบัตที่1 กลับวิ่งโร่ไปหานักกายภาพดัดหลัง (Chiropractors) ที่โฆษณาตามหนังสือแฟชั่น หรือหนังสือสุขภาพทั่วไป ผลเสียรุนแรงที่เกิดขึ้น ก็อาจจทำให้หมอนรองกระดูกที่โป่งเคลื่อนออกมา เคลื่อนที่ออกมามากขึ้น หรือ บางครั้งก็อาจจะทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังแตกได้ เมื่อหมอนรองกระดูกสันหลังแตกจะทำให้มีอาการปวดหลังลงขาอย่างรุนแรง จนทนปวดไม่ได้ต้องขอให้หมอรีบผ่าตัดเพื่อเอาหมอนรองกระดูกที่แตกออกทิ้งไป
ในทางการแพทย์ การรักษาโดยการดัดหลัง หรือดึงหลังนั้น ถือว่าเป็นการรักษาที่รุนแรง (Aggressive Treatment) อย่างหนึ่งครับ ถ้ายังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า อาการปวดหลัง หรือ ปวดขามาจากอะไรแพทย์เจ้าของไข้จะไม่อนุญาติให้ใช้การรักษาวิธีนี้ เพราะโอกาสพลาดส่งผลเสียมากกว่าผลดี มีสูง การมีรูป X Ray เพียงไม่กี่แผ่นที่แสดงไห้เห็นว่า กระดูกหลังคด แล้วต้องรักษาโดยดึงหลังเพื่อให้หลังตรง จะได้หายปวดหลัง จึงไม่สมเหตุสมผลครับ เพราะถ้ากระดูกสันหลังที่คดแบบนี้เกิดจากการที่ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เพียงแค่เรานอนพัก 5-7 วัน กระดูกสันหลังก็กลับมาตรงได้เหมือนเดิม
ยังมีกระดูกสันหลังที่คดอีกชนิดหนึ่งครับ ที่ถือว่าเป็นโรคต้องรักษาอย่างจริงจัง เพราะถ้าไม่รักษา กระดูกสันหลังอาจจะมีรูปร่างที่คดมากขึ้นตามการเจริญเติบโต สาเหตุของกระดูกสันหลังคดชนิดนี้เกิดจาก จุดที่สร้างการเจริญเติบโตให้กระดูกสันหลังสองฝั่งมีไม่เท่ากัน ทำให้กระสันหลังแต่ละปล้องมีความสูงไม่เท่ากัน ส่งผลให้กระดูกสันหลังเอียงออกจากจุดที่ตั้งฉากกับลำตัว มักพบได้ในช่วงที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของคนเช่น ในช่วงวัยรุ่นครับ กระดูกสันที่คดแบบเป็นโรคนี้ จะมีลักษณะที่ค่อนข้างคดมาก และหลังจะเกร็ง แม้ เอียงตัวไปมาทางด้านขาง แล้ว X Ray รูปร่างก็ยังคงคดเหมือนเดิม และมักมีกระดูกสะบักหลังที่นูนเด่นที่ด้านหลังไม่เท่ากัน ถ้าเอาฝ่ามือทาบที่กระดูกสะบักหลังทั้งสองข้างก็จะรู้สึกได้ถึงความนูนเด่นไม่เท่ากันของกระดูกสะบักหลัง

วิธีสังเกตง่ายๆ ที่จะดูว่า ลูกๆ ของท่านมีโรคกระดูกสันหลังชนิดที่คดถาวรหรือไม่ ให้เด็กถอดเสื้อออก แล้วก้มหลังให้มือแตะปลายเท้าด้านหน้าทั้งสองมือ คุณพ่อแม่เด็กอ้อมมาด้านหลังแล้วก้มมองแบบสังเกตุดูว่า กระดูกสะบักหลังที่นูนเด่นออกมาตอนเด็กก้มหลังมีความสูงเท่ากันหรือไม่ (ดังรูป) ถ้าไม่เท่าต้องสงสัยไว้ก่อนว่า อาจจะเป็นโรคกระดูกสันหลังคดชนิดถาวรได้ ต้องรีบไปปรึกษาแพทย์โดยทันที เพื่อการแก้ไขในเวลาที่เหมาะสม เพราะถ้าปล่อยให้เด็กหยุดสูงแล้วมาแก้ไข อาจจะสายเกินไปครับ
ที่น่าแปลกใจและตลกไม่ออกก็คือว่า มีการทำวิจัยที่ยืนยันอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการรักษาโรคกระดูกสันหลังชนิดคดถาวรว่า การรักษา ด้วยวิธีดัดหลัง ดึงหลัง และแม้แต่ใส่เสื้อเกราะปรับกระดูกสันหลัง ก็ไม่มีทางทำให้กระดูกสันหลังหลังกลับมาตรงได้ครับ เสียเวลา เสียเงิน และทำให้เด็กที่เป็นโรคนี้มีปมด้อย ที่ต้องใส่เสื้อเกราะพลาสติกบีบตัวอยู่ทุกวันที่ไปโรงเรียน
อีกทั้งการที่มีกระดูกสันหลังคดแบบนี้ ทางการแพทย์ไม่พบว่า จะเป็นสาเหตุที่ทำให้มีอาการปวดหลังแบบรุนแรงครับ เพียงแต่ทำให้ดูหลังไม่สวย และตัวเตี้ยมากกว่าปกติ ผู้ป่วยปวดหลัง หลายคนที่มีรูปร่างกระดูกสันหลังคด แล้ว ชอบโทษพ่อ เเม่ ว่าสร้างมาไม่ดี ต้องเปลี่ยบความคิดใหม่ แล้วเอาเวลาที่เหลืออยู่ไปหาสาเหตุแท้จริงที่
ทำให้ปวดหลัง เพื่อการรักษาที่ถูกต้อง และทำให้หายปวดหลังทันท่วงที ก่อนที่โรคจะลุกลามออกไปจนไม่มีทางเลือกต้องรักษาโดยการผ่าตัดหลังเท่านั้น ปวดหลัง ผ่าตัดทางเลือกสุดท้ายครับ


โรคปล้องกระดูกสันหลังเคลื่อน หลุดออกจากกัน ตอนที่ 1
โรคปล้องกระดูกสันหลังเคลื่อน หลุดออกจากกัน (Spondylolisthesis) เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้อย่างไร หากจะอธิบาย คงเริ่มจาก อวัยวะต่าง ๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นหลังของคนเรา ก็เปรียบเหมือนส่วนต่างๆ ของเรือใบที่แล่นสู้แรงลม อยู่กลางท้องทะเล การที่หลังของคนเราตั้งตรงฝืนแรงโน้มถ่วงของโลกอยู่ได้ขณะที่เรามีการใช้งาน ก็เพราะมีกระดูกสันหลัง และกล้ามเนื้อที่แข็งแรง คอยประคองช่วยเหลือหลังอยู่ตลอดเวลา เปรียบไปก็เหมือน เสากระโดงเรือที่มีเชือกขึงตึงทั้งสองข้าง

โรคปล้อง กระดูกสันหลังเคลื่อน กดทับเส้นประสาท ตอน 2
การป้องกันไม่ให้เกิดภาวะ กระดูกสันหลังเคลื่อน เป็นเรื่องยากครับ เพราะส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้มีการตรวจเช็ก X- ray ที่หลังเเล้ว ก็จะไม่มีโอกาสรู้เลยว่า กระดูกหลังของคนไข้มีการเคลื่อนหลุดออกจากกันเเล้วหรือเปล่า ส่วนคนปกติทั่วไป จะต้องมีการ X- ray เพื่อเช็กกระดูกสันหลังทุกคนหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดครับ

“กระดูกสันหลังคด” สาเหตุ อาการ วิธีการแก้ไข
กระดูกสันหลังคด (Scoliosis) คือ การคดงอของกระดูกสันหลัง หรือกระดูกสันหลังมีลักษณะบิดเบี้ยวไปด้านข้าง ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกวัย แต่ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดขึ้นกับเด็ก โดยเฉพาะในเด็กอายุตั้งแต่ 10-15 ปี โดยทั่วไปหากอาการไม่รุนแรงมักไม่ต้องเข้ารับการรักษา แต่หากกระดูกสันหลังคดมาก อาจทำให้มีอาการปวดหลัง เอว ปวดคอเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์ หรือ ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการรักษา หรือแก้ไขกระดูกสันหลังคดอย่างถูกวิธี


