
การวิ่งออกกำลังกาย ทำให้เข่าเสื่อมจริงหรือ
การวิ่งออกกำลังกาย ทำให้เข่าเสื่อมจริงหรือ?
มีคำพูดหนึ่งในนวนิยายจีนโบราณของนักเเต่งชื่อก้องในโลกของวรรณกรรมจีนกำลังภายใน นาม โก้วเล้ง ที่กล่าวเอาไว้ว่า “จริงคือเท็จ เท็จคือจริง” ที่ผมคิดว่า เป็นคำที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งที่จะนำมาเปิดประเด็น ตอนต้นในหัวข้อที่เราจะพูดถึงในวันนี้ครับ
ในสมัยก่อน เมื่อมีการเก็บบันทึกสาเหตุการตายของประชากรในไทยพบว่า โรคหัวใจนั้น มาเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งที่ความจริงอาจจะไม่ใช่สาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตจริงๆหรอกครับ เพราะอะไร รู้เเล้วอย่าแปลกใจนะครับ เหตุผลที่ทำให้โรคหัวใจเป็นผู้ร้ายอันดับหนึ่งในสมัยนั้น ก็คุณหมอนี่เเหละเป็นตัวต้นเหตุ เพราะเมื่อมีผู้ป่วยเสียชีวิตในโรงพยาบาล อาจจะจากโรคบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับหัวใจเลย เช่น โรคหอบหืด โรคมะเร็ง อุบัติเหตุ หมอจะบันทึกลงไปในช่อง สาเหตุการตายว่า เกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลวไม่ทำงาน นักสถิติที่รวบรวมไม่ได้ดูสาเหตุที่เเท้จริงว่า ทำไมหัวใจดวงน้อยๆถึงไม่ยอมเต้น ก็ตกใจว่า คนไทยตายจากโรคหัวใจกันมาก ผลก็คือทำให้ผู้คนในสมัยนั้นกลัวโรคนี้ขึ้นสมอง พยายามหาหนทางเเก้ไขเเละป้องกันกันอย่างเต็มที่ครับ มีการออกข่าวคึกโครม ถึงวิธีการปฏิบัติที่จะทำให้หลีกห่างจากโรคนี้มากมาย

หนึ่งในนั้น คือการบริหารเเบบเเอโรบิค โดยการวิ่ง วัตถุประสงค์ การออกกำลังกายชนิดนี้ คือการกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น 80% ของความสามารถที่หัวใจคนนั้นจะเต้นได้ ให้เต้นอยู่อย่างนี้นาน ประมาณ 15-20 นาที นัยว่าสามารถลดปริมาณไขมันตัวร้าย พวกคลอเรสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ เเละเพิ่มปริมาณไขมันตัวดี เอชคลอเรสเตอรอล ลดโอกาสการอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ที่ทำให้คนเป็นโรคหัวใจ
ปรากฎว่า มีการโหมโรง โฆษณาชวนเชื่อ ให้คนไทยวิ่งกันอย่างมากมายทุกวัน เเต่กลับพบว่า คนที่อายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป ไปพบเเพทย์ด้วยอาการที่ไม่เกี่ยวกับโรคหัวใจมากขึ้นครับ นั่นคืออาการปวดเข่า เข่าบวม มีข้อเข่าเสื่อมผุพังมากขึ้นอย่างน่าตกใจ
มีการศึกษาวิจัย ว่าการวิ่งทำให้ข้อเข่า เสื่อมมากขึ้นจริงหรือไม่ของมหาวิทยาลัยเเคลิฟอร์เนีย เมื่อปี 1993 โดยการเฝ้าดู นักวิ่ง 35 คน ติดต่อกัน 5 ปี โดยมีการตรวจสอบ เอ็กเรย์กระดูกข้อมือ กระดูกสันหลัง เเละข้อเข่าทุกๆปี ปรากฎว่าอัตราการเป็นข้อเสื่อมไม่ได้เเตกต่างจากคนทั่วไป หมายความว่า นักวิ่งกลุ่มนี้ การวิ่งไม่ได้ทำให้เป็นข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้นเเละมากขึ้น
อ้าว…… เเล้วคนไทยในสมัยนั้น ที่ไปวิ่งกันมากมาย ทำไมถึงปวดเข่า เเละเป็นเข่าเสื่อมมากขึ้นละครับ มีเเพทย์หลายๆ คนพยายามหาสาเหตุที่เเท้จริง จนกระทั่งพบว่า มีปัจจัยที่เเตกต่างระหว่างคนไทย กับคนต่างประเทศ เเละยังเป็นต้นเหตุที่เเท้จริงที่ทำให้นักวิ่งไทยเป็นข้อเข่าเสื่อมมากขึ้น คือ กล้ามเนื้อของคนไทยไม่เเข็งเเรงครับ

คนต่างประเทศ โดยเฉพาะยุโรป หรือ อเมริกา จะเป็นนักออกกำลังกาย นักเล่นกีฬาอย่าง ต่อเนื่อง ไม่ใช่เพิ่งมาออกกำลังกายตอนมีเวลาว่าง หรือมาออกกำลังกายเมื่อวัยเกษียน การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทำให้กล้ามเนื้อทั่วไป โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่หลังเเละต้นขา เเข็งเเรง ไม่มีสภาพการถดถอยของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อรับเเรงเเละผ่อนเเรง กดจากน้ำหนักตัวได้อย่างสมดุล เมื่อเวลาคนเราหยุดออกกำลังกายนานๆ เช่น คนหนุ่มสาวของบ้านเรา ที่เมื่อจบจากการศึกษา ออกมาทำงาน มักจะไม่มีเวลาในการออกกำลังกาย เล่นกีฬา อย่างต่อเนื่อง จะมีภาวะอย่างหนึ่งค่อยๆ เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อของคนคนนั้น คือ ขนาดของเส้นใยกล้ามเนื้อจะลีบลง ลีบลง จนกล้ามเนื้อบางจุด เช่น หลัง เเละขาจะสู้ หรือทนน้ำหนักตัวที่ต้องมีการออกเเรงในชีวิตประจำวันไม่ไหว ผลก็คือ จะมีการอักเสบสะสมเล็กๆ น้อย ต่อเนื่องภายในกล้ามเนื้อ
เมื่อมีข่าวเเว่วมา ว่าการวิ่งทำให้เป็นโรคหัวใจน้อยลง คนไทยเราก็เฮโลไปวิ่งในสวนกันใหญ่ โดยไม่เคยมีการตรวจสอบก่อนว่า กล้ามเนื้อรอบหัวเข่าเเข็งเเรงหรือไม่ พอจะทนน้ำหนักตัวเราขณะทีวิ่งได้หรือไม่ การวิ่งนานๆ ที่ไม่มีกล้ามเนื้อที่เเข็งเเรงคอยปกป้อง คอยผ่อนเเรงกระเเทกซ้ำๆ ที่ผิวข้อเข่า จึงทำให้ข้อเข่าเกิดอักเสบ เกิดการเสื่อมเเละผุพังเร็วขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีอายุเข้าสู่วัยกลางคน กระดูกอ่อนที่อยู่บริเวณผิวข้ออยู่ในสภาพที่ถดถอยอยู่แล้ว รายไหนรายนั้นครับ พอเริ่มต้นวิ่งไปซัก 3-4 วันก็จะมีอาการบวม ปวดที่เข่าขึ้นมา เห็นมั้ยครับว่า กล้ามเนื้อรอบเข่าของเราสำคัญต่อกระดูกมากเเค่ไหน
สบายกาย คลายปวดเข่าครับ

การเตรียมความพร้อมสำหรับการวิ่ง The North Face 100 Thailand ของผม

จำได้ว่าครั้งแรกที่ผมเห็นภาพโปรโมตการแข่งขันรายการ The North Face 100 Thailand ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก สโลแกนสั้นๆ “Break All Boundaries” ช่างท้าทายเราให้ไปร่วมชาเล้นท์การแข่งขันรายการนี้เสียจริง
2014 ปีแรกที่ไปร่วมแข่งรายการนี้ เพื่อนๆ ยุให้ลง 25 กม.เลย ผมบอกไปว่า ไม่ไหวหรอก ขอ 15 ก็พอ ไม่เคยคิดว่าจะวิ่งไกลเกินไป ขอวิ่งระยะแค่ 10 กม. พอแล้ว สุดท้ายผมก็ตัดสินใจลงระยะ 25 กม. และปี 2014 ผมวิ่งฮาล์ฟไป 1 รายการ กับมาราธอนอีก 3 รายการ
ปี 2015 ผมตัดสินใจลงระยะ 50 กม. ด้วยความมั่นใจในความฟิตของตัวเองสุดๆ เนื่องจากซ้อมถึงและมีประสบการณ์การวิ่งมาราธอนมากพอ จนรู้สึกว่าการวิ่งมาราธอนสามารถวิ่งได้โดยใช้เวลาเตรียมตัวก่อนแข่งไม่นาน ปีนั้นผมวิ่งจบ 50 กม. ด้วยสภาพร่างกายที่ย่ำแย่มาก เกือบอาเจียนระหว่างวิ่ง และตอนเข้าเส้นชัย ไม่สามารถพยุงตัวเองลุกขึ้นมายืนได้นานกว่า 10 นาที ปีนั้นตัดสินใจแน่วแน่ว่า หัวเด็ดตีนขาดก็คงไม่ขยับขึ้นไปวิ่งระยะ 100 กม.แน่ๆ แค่ 50 กม. ก็จะตายแล้ว
เว้นวรรคไป 2 ปี ผมก็ไม่ได้มาร่วมวิ่งรายการนี้อีกเลย บางทีอาจเป็นไปได้ว่าระหว่าง 2 ปีนี้ ผมซ้อมน้อยลงมากๆ และลงรายการวิ่งไปเพียง 3-4 รายการเท่านั้น
ผมตัดสินใจมาวิ่ง 100 กม. ครั้งนี้ จากการได้เห็นคุณ Karn Sakulsak แชร์เพจ The North Face 100 Thailand ว่ารายการนี้แจกเสื้อ Finisher และจำนวนคนสมัครระยะนี้ยังไม่เต็ม ซึ่งผมเข้าใจไปเองว่า มันคงเต็มเร็วมาก แบบรายการวิ่งต่างๆ ที่ระยะ 2 ปีมานี้เต็มเร็วมาก จนต้องเฝ้าหน้าจอสมัครวิ่งกัน แต่ตอนสมัครไปผมก็ยังมีกั๊กไม่จ่ายค่าสมัคร ต้องการตัดสินใจทบทวนอีกครั้งว่า จะวิ่งให้จบไหวมั้ย ผมมาตัดสินใจชำระเงิน เพื่อให้การสมัครครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะเห็นภาพพี่ตูน บอดี้สแลม วิ่งกลางแดดติดต่อกันหลายวัน บางวันซัดวันเดียวปาเข้าไป 70 กว่ากม. ในการวิ่งเบตง- แม่สาย เมื่อปลายปีที่แล้ว
ยอมรับเลยว่า นี่เป็นการลงรายการวิ่งครั้งแรกในชีวิตที่ผมไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถทำสำเร็จ ภาพตอนนั่งพักหลังเข้าเส้นชัยระยะ 50 กม.แล้วพยุงตัวลุกขึ้นไม่ได้ ยังตามหลอนผมอยู่จนถึงวันนี้ ณ วันนั้นเหลือเวลาเตรียมตัวอีก 2 เดือนเท่านั้น
ใน 2 เดือนนี้ ผมศึกษาข้อมูลคำแนะนำจากทุกแหล่งที่หาได้ และเข้าไปดูสถิติผลการแข่งขันรายการนี้ย้อนหลัง 3 ปี และลองหาข้อมูลคนที่ไม่สามารถพิชิตระยะนี้ที่รายการนี้สำเร็จ น่าจะด้วยเหตุผลไหนบ้าง
เท่าที่ผมเข้าไปดูสถิติย้อนหลังพบว่า การแข่งขันรายการมีคนทำสำเร็จไม่ถึง 50% จากคนที่เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด
ปี 2015 จบ 77 คน จาก 191 คน 40.31%
ปี 2016 จบ 86 คน จาก 250 คน 34.40%
ปี 2017 จบ 119 คน จาก 282 คน 42.20%
ผมสุ่มเข้าไปดูสถิติการวิ่ง 50 กม.แรก กับ 50 กม.หลัง พบว่าส่วนใหญ่แล้ว การวิ่งครึ่งหลังจะใช้เวลาแถวๆ 10 โดยประมาณ หมายความว่า ผมควรจะมีความสามารถวิ่งครึ่งแรก โดยที่สภาพร่างกายยังไปต่อไหวในครึ่งหลัง ให้ได้ระยะเวลาไม่เกิน 8 ชั่วโมง ผมอาจมีโอกาสจบรายการนี้ได้
แต่ว่า เมื่อถึงวันวิ่งจริงๆ แล้ว การคำนวนณตามสถิติหรือตามคณิตศาสตร์ มันก็ไม่ได้การันตีว่าผมจะจบการแข่งขันวิ่งรายการนี้ได้ เพราะผมเคยเห็นนักวิ่งที่แข็งแรงกว่าผมในช่วงปี 2015 วิ่งไม่จบรายการนี้
การหาสาเหตุอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการฟิตจึงเกิดขึ้น ผมพบว่า คนที่วิ่งไม่จบ โดยที่ไม่เกี่ยวข้องการซ้อม หรือฟิตไม่ถึงน่าจะมีดังต่อไปนี้
1.การบริหารจัดการเติมพลังงานระหว่างวิ่งไม่ดีพอ ซึ่งเรื่องนี้ผมเข้าไปอ่านข้อมูลเวบต่างประเทศ เค้าแนะนำให้เติมพลังงานระหว่างวิ่งแถวๆ 240 แคลอรี่ต่อชั่วโมง
ผมหาซื้ออาหารและดูข้อมูลปริมาณสารอาหารและปริมาณแคลอรี่ เพื่อคำนวณเรื่องอาหารที่ผมจะพกไปกินระหว่างวิ่งทั้งหมด รวมถึงการซ้อมกินก่อนวิ่ง เพื่อหาตัวที่สามารถกินไปวิ่งไปได้ และปรึกษาน้องจูนนักโภชนาการที่ปรึกษานักกีฬาทีมชาติหลายชนิดกีฬา เธอยืนยันว่าก็โอเคค่ะพี่ สู้ๆ

2.บริหารความสมดุลย์ของความเข้มข้นของน้ำที่จะเติมเข้าไปไม่พอ ซึ่งเรื่องนี้ผมได้ความรู้จาก Live สด ของหมอเมย์กับพี่ป๊อก
ผมซื้อเกลือเม็ดและกินทุกๆ ต้นชั่วโมง ตลอดระยะทางวิ่ง
3.มีปัญหาเท้าพอง จนวิ่งต่อไม่ไหว ได้ความรู้จาก Live สด หมอเมย์กับพี่ป๊อกอีกเช่นเคย
หมอสมศักดิ์จาก Bangkok Advanced Clinics ดูแลตัดแผ่น Insole เข้ากับรูปเท้าผม ทำให้ผมสามารถซ้อมต่อเนื่องตามแผน รวมระยะเวลา 3 เดือน 1,005 กม. ผมไม่มีอาการเท้าพองรบกวนอีกเลย

 
4.Heatstroke ผมได้รับคำแนะนำโดยตรงจากพี่ป๊อก เรื่องการรักษาแกนกลางให้เย็น รวมถึงได้รับคำแนะนำตอนเข้าฟังบรีฟคืนก่อนวิ่ง ว่ายอดนักกีฬารายการนี้ แนะนำให้พยายามลดอุณหภูมิร่างกาย โดยที่งานจะมีฟองน้ำจุ่มน้ำเย็นเป็นระยะๆ
ผมแทบจะราดตัวเมื่อผ่านจุดที่มีฟองน้ำแช่น้ำเย็น น้ำแข็ง
5.Dehydrate อาการขาดน้ำ เป็นอาการที่ผมกังวลมากที่สุด เพราะโดยธรรมชาติแล้วชีวิตประจำวันดื่มน้ำน้อย และเคยมีปัญหาระหว่างซ้อมวิ่งยาวๆ ฉี่เป็นสีสนิม
ผมไปตรวจไตให้เรียบร้อย เพื่อตัดความน่านจะเป็นอื่นที่ทำให้ฉี่เป็นสีสนิมออกให้หมด ซึ่งก็พบว่าไตปกติ ก่อนวันแข่ง ได้รับคำแนะนำจากคุณเจย์ นักวิ่งอัลตร้าระดับต้นๆ ของประเทศจากคลิบที่คุณอุ๊บอิ๊บแชร์ความทรงจำตอนพบคุณเจย์ครั้งแรกระหว่างสัมภาษณ์ให้คำแนะนำนักวิ่งเทรลว่า ก่อนวิ่ง 1 วันให้ดื่มน้ำเยอะๆ
6.กล้ามเนื้อแข็งแรงไม่พอ ยืนระยะไม่อยู่ เรื่องนี้รู้ด้วยตัวเอง ตอนไปเดินป่าเขาใหญ่ 3 วัน 2 คืน แค่เดินก็ป่า ก็ปวด Ham String แล้ว
หมอสมศักดิ์จาก Bangkok Advanced Clinics แนะนำท่าออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบหัวเข่า ทำให้ผมจบได้ด้วยการไม่มีอาการเจ็บกล้ามเนื้อส่วนใดๆ ของขาเลย
7.ความประมาท ความชะล่าใจ
ก่อนวิ่ง 1 อาทิตย์ ผมมีความมั่นใจมากว่า ผมจะวิ่งจบด้วยเวลาต่ำกว่า 16 ชั่วโมง เพราะข้อมูลการซ้อมทุกอย่าง มันมีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถทำได้ แต่ใช่ว่าการพิชิตระยะ 100 กม. รายการนี้จะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ มันไม่ง่ายหรอกนะพ่อหนุ่ม ที่มาลงระยะนี้ครั้งแรกแล้วอยากจะพิชิตได้แบบชิลล์ มันต้องมีอะไรทดสอบให้จดจำรายการนี้สักหน่อย
ก่อนวันวิ่ง 3 วัน อากาศมีการเปลี่ยนแปลง ฝนตกจากลมหนาวปะทะลมร้อน ซึ่งอากาศจะเย็นขึ้นในอีกไม่กี่วัน เป็นข่าวดีมากๆ สำหรับนักวิ่งที่ไปแข่งงานนี้ แต่เวลาที่อากาศเปลี่ยนแปลง ผมมักจะมีอาการภูมิแพ้กำเริบ หรือ อาจเป็นหวัดลงคอเป็นประจำ และมันก็ออกอาการไม่ดีตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ก่อนวันวิ่ง 2 วัน ผมอัดวิตามินซี ยาแก้แพ้ ยาละลายเสมหะ ทันทีและดื่มน้ำอุ่นทั้งวัน รวมถึงใช้หน้ากากอนามัยปิดปากทั้งวัน แม้กระทั่งตอนนอน แต่อาการก็ยังทำทีว่าจะเริ่มมีอาการเจ็บคอในวันก่อนแข่ง 1 วัน จนผมต้องใส่เสื้อหนาวทั้งวัน แม้ว่าวันนั้นอากาศกรุงเทพยังไม่เย็นจนต้องใส่เสื้อหนาว และยังดื่มน้ำอุ่มทั้งวัน ตั้งแต่เช้าจนถึงคืนนั้น รวมถึงการขอคำแนะนำเรื่องยาจากพี่เล้ง เภสัชกรนักวิ่ง
วันวิ่งเหมือนอาการต่างๆ ที่ทำท่าจะกำเริบดีขึ้น แต่ยังมีน้ำมูกใสๆ ทั้ง 2 ข้าง รบกวนการหายใจตลอดทาง
และแล้วช่วงเวลาที่ผมไม่เคยคิดฝันว่าตัวเองจะมาไกลจนถึงจุดนี้
ลงรายการวิ่งเทรลระยะ 100 กม. ซึ่งผมเคยยืนยันเด็ดขาดหลายครั้งว่าไม่เอาแน่ๆ
ก่อนเวลาสตาร์ท ผมไม่ได้มีอาการตื่นเต้นมากนัก ไม่เหมือนตอนมาราธอนแรกที่ขอนแก่น คิดเพียงว่า หลัง 50 กม.แรกไป ผมจะได้เจอประสบการณ์อะไรบ้าง เพราะไม่เคยแม้กระทั่งวิ่งทางราบเกินระยะ 50 กม.มาก่อนเลย ไม่มีประสบการณ์ว่ากล้ามเนื้อมันจะล้าขนาดไหน และเราจะอดทนวิ่งต่อได้หรือไม่
และแล้วเมื่อถึงเวลาสตาร์ท ผมก็วิ่งออกไปตามแผนที่ผมวางเอาไว้ในรายการนี้ ซึ่งแผนของผมคือ เซฟกล้ามเนื้อ และเซฟร่างกายตัวเองให้ยังมีเหลือที่จะไปต่อใน 50 กม.หลัง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมไม่ได้กำหนดเป้าเวลาเป็นเรื่องหลักในการวิ่งครั้งนี้ ผมตั้ง HR ไว้เป็นหลักในแผนการวิ่งครั้งนี้ ซึ่งผมตั้งไว้แถวๆ โซน 2 กลางๆ
แต่อย่างที่บอก รายการนี้มันไม่ได้หมูๆ ให้ใครมาพิชิตง่ายๆ โซน 2 กว่าๆ ของผมที่ซ้อมมาตลอดที่น้ำหนักตัว 78 กก. อยู่แถวๆ เพซ 6 กลางๆ ถ้าอากาศเย็นๆ อาจต่ำถึง 6 ต้นๆ ได้ แต่วันนั้นที่เพซ 6 ปลายๆ อุณหภูมิ 19 องศา มันโดดไปถึงโซน 3 บางช่วงที่ไม่ได้วิ่งเร็วมาก ทางชันไม่มาก ขยับไปโซน 4 อาจเป็นเพราะระบบการหายใจไม่คล่องจากอาการมีน้ำมูกทั้ง 2 ข้าง และมีอาการไอเป็นระยะๆ ตลอดการวิ่ง

การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจึงเกิดขึ้น ผมต้องยอมเปลี่ยน HR ใหม่ ตั้งคุมไว้ที่โซน 3 แทน และใช้ฟิลลิ่งตัวเอง เช็คความรู้สึกแต่ละก้าวที่วิ่งว่าเราได้ใช้กล้ามเนื้อมากเกินไปมั้ยในการวิ่งเพซนั้นๆ เป็นการวิ่งที่ขายังรู้สึกสบายหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อ HR เกินโซน 3 ขึ้นมา ผมก็จะชะลอความเร็วให้ HR กลับเข้าไปอยู่ในโซนเสมอ แข่งเที่ยวนี้ ทางขึ้นเขาผมแทบจะไม่ได้วิ่งขึ้นเลย จะมีก็แต่ทางถนนช่วง 10 กม.แรกๆ เท่านั้น นอกจากนั้นส่วนใหญ่จะเดิน เซฟกล้ามเนื้อ แต่ขาลงผมจัดเต็มตลอด เหมือนกล้ามเนื้อขาช่วงวิ่งลงผมจะแข็งแรงกว่ากล้ามเนื้อขาช่วงขาขึ้น เลยทำให้มีอาการเท้าพองนิดหน่อยจากการเบรคเพราะมันเริ่มเร็วจนน่าจะเบรคไม่อยู่แล้ว
ผมมีอาการหายใจผิดปกติตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของการวิ่ง จำไม่ได้ว่าตั้งแต่ตอนไหน แต่น่าจะก่อนผ่าน 30 กม.ด้วยซ้ำ มันเป็นการหายใจที่ไม่ชิลล์นัก ทั้งๆ ที่เพซไม่สูง หรือแม้กระทั่งตอน HR ลดลงเหลือไม่เกิน 115 ก็ตาม ( แม้กระทั่งหลังวิ่ง อาการหายใจแรงๆ ก็ยังเป็นอยู่จนถึงราวๆ ตี 1 ของคืนนั้น ) ทำให้เริ่มมีความคิดว่า สงสัยวันนี้ไม่น่าจบ ถ้าไม่จบจะวิ่งได้สูงสุดกี่กม.ดีๆ
ความคิดที่ว่าจะไม่จบ มันแวบเข้ามาในสมองอยู่เรื่อยๆ ยิ่งเจอภูเขาเซอร์ไพร์ซที่ผู้จัดเต็มใจมามอบให้ผู้ท้าทายการแข่งขันรายการนี้ แทบช็อค เขาลูกนี้สูงมากใช้พลังในการขึ้นเยอะมาก และชัน แค่ค่อยๆ ยันตัวขึ้นไปทีละก้าว HR ของผมก็โดดไป 150 แล้ว ปกติ HR ระดับนี้ ทางราบผมวิ่งประมาณเพซ 4 ปลายๆ ตอนนั้นยิ่งมีความคิดชัดเจนว่าน่าจะไม่จบแน่ๆ แต่ไม่ว่าสมองจะคิดอย่างไร ผมก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหวร่างกาย ยังเคลื่อนไหวตลอด และไม่หยุดพักที่ CP นานๆ ผมจะเดินเมื่อต้องกินพาวเวอร์บาร์ และเมื่อเจอทางขึ้นเนิน ซึ่งวันนี้ผมตัดสินใจไม่วิ่งเลย ที่สโลปเกิน 3% (ผมใช้วิธีดูค่า Ascent ใน Garmin ที่เปลี่ยนไปที่ระยะ 100 เมตร ถ้ามันเปลี่ยนมากกว่า 3 เมตร ก็จะไม่วิ่ง บางสโลปมองด้วยตาก็รู้แล้ว ชันสุดๆ ) ส่วนทางราบ ทางลง ไม่ว่าจะ 10 เมตร หรือ 1 กม. ก็วิ่งช้าบ้าง เร็วบ้างเสมอ
จบ 50 กม.แรก ผมใช้เวลาไป 7 ชั่วโมง ซึ่งอยู่ในเวลาตามคำแนะนำของคุณ Karn ซึ่งผมปรึกษาตลอดเรื่องการเตรียมตัวมาวิ่งงานนี้ ผมเหลือเวลาอีก 11 ชั่วโมง กับอีก 50 กม. คำนวณหยาบๆ ในใจ ถ้าเดินจ้ำๆ ชั่วโมงหนึ่งได้ 5 กม.กว่าๆ 10 ชั่วโมง ก็ 50 กม. น่าจะจบ คิดได้เช่นนั้น ก็ต้องรีบออกวิ่งต่อสิครับ ผมใช้เวลาพักอยู่ที่ CP5 ประมาณ 12 นาที ก็รีบออกวิ่งครึ่งหลังเลย ตามคำแนะนำของพี่ป๊อก ซึ่งบอกว่า อย่าใช้เวลาที่ CP นาน ที่จุด CP ผมแค่หยิบเจลกับพาวเวอร์บาร์มาเติม และละลายอาหารผงเครื่องที่มีคาร์โบไฮเดรต กับโปรตีนสูงๆ ดื่มและกินปลาทูน่าไปไม่ถึงครึ่งกระป๋อง และก็ออกสตาร์ทวิ่งต่อ โดยเอายูโรเค้ก 2 ชิ้น เดินไปกินไป ถ้าเป็นเวลาปกติ 2 ชิ้นนี้ ผมสามารถกินและกลืนหมดภายในเวลาไม่เกิน 1 นาที หรือตอนซ้อมวิ่งไปกินไป ผมก็กินหมดไม่นานนัก แต่ในสภาพเหนื่อย หายใจไม่ปกติในวันนี้ กว่าจะกินและกลืน 2 ชิ้นนี้ ราวๆ 10 นาทีน่าจะได้
ช่วง 50 กม.หลัง ผมใช้วิธีเดินๆ สลับวิ่ง เพื่อเซฟกล้ามเนื้อขา ให้ปีนเขาลูกที่ทางผู้จัดเตรียมมาเซอร์ไพร์ซนักวิ่งปีนี้ ซึ่งเค้าตั้งใจจัดไว้ทดสอบเราในช่วงท้ายๆ ที่พลังงานเหลือน้อยแล้วด้วย คิดในใจ โครตโหดร้ายทารุณเลย สมองตอนนั้นก็ยังมีความคิดไม่จบเข้ามาอยู่เรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ผมคำนวณในใจคร่าวๆ ถ้าผมสามารถไปให้ถึงกม.ที่ 80 ได้ก่อน 18:00 น. โดยมีเวลาเหลือให้วิ่ง 20 กม. อีกตั้ง 5 ชั่วโมง ยังไงก็จบ (เฉลี่ยชั่วโมงละ 4 กม. สบายมาก เพราะมันเป็นเพซ 15 นาทีต่อกม. คือเดินเอาก็จบได้แล้ว) ซึ่งผมก็เข้าก่อนหลาย 10 นาทีอยู่ แสดงว่า ผมเหลือเวลา 5 ชั่วโมงกว่าๆ ในการวิ่งอีก 20 กม. (เฉลี่ย 3 กม.กว่าๆ ต่อชั่วโมง จบแน่ๆ ครับ)
สุดท้ายผมก็จบที่เวลา 16 ชั่วโมง 52 นาที เร็วกว่าเวลาตัดตัว 1 ชั่วโมง 8 นาที

ประสบการณ์งานวิ่งเทรล 100 กม. แรกในชีวิตผม สอนไว้ว่า แม้ว่าเราจะมีความคิดว่าอาจจะไม่จบแทบจะตลอดเส้นทาง แต่เราก็จะไม่ยอมหยุดก้าวไปข้างหน้าเสมอตลอดเวลาที่ยังมีเวลาเหลืออยู่ สิ่งที่ทำให้ผมจบได้ น่าจะเป็นการพยายาม หาเป้าหมายเล็กๆ และทำให้สำเร็จ ก่อนถึงเป้าหมายใหญ่ โดยการวิ่งไปให้ถึงระยะทางที่ผมคิดไว้ให้ได้ภายในเวลาที่กำหนด เพื่อให้ระยะทางที่เหลือ แม้เดินชิลล์ก็ยังจบได้ ช่วยทำให้เรามีความหวัง และมีกำลังใจที่จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าตลอดเวลา โดยไม่อู้ที่ CP และไม่หยุดที่จะก้าวครับ….

 
ขอขอบคุณบทความจากแฟนเพจ Golfer Online
 คุณเฉลิมวงศ์ บวรกีรติขจร (โปรซิ่ง)


