
การใส่รองเท้าที่ปรับโครงสร้างได้ เป็นการ รักษาเข่าโก่งในเด็ก วิธีใหม่ โดยการทำรองเท้า หรือพื้นรองเท้าปรับโครงสร้างทั้งระนาบ มุม และความยาวของขาเฉพาะกับเด็กคนนั้น สามารถทำตั้งแต่เด็กเริ่มหัดเดินเป็นต้นไป จนเข้าสู่วัยชรา
วิธีการ รักษาเข่าโก่งในเด็ก และ ขาโก่ง เข่ากาง ขากาง
1. การใส่เกราะรัดเข่า (Knee Brace) เพื่อเพิ่มแรงดัดให้เข่ากางออกในช่วงที่เด็กลงน้ำหนักเดิน ซึ่งในปัจจุบันนี้ 2015 ด้วย การพัฒนาวัสดุที่ดีขึ้น และเทคโนโลยี่ 3D Printing ทำให้การสร้างเกราะรัดเข่ามีความรวดเร็ว เข้ากับเด็กคนคนนั้น มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับแรงดัน แรงกดตามความต้องการได้ แรงกด แรงดัน จะดัดเข่าให้มีรูปร่างตามต้องการ และใส่เฉพาะตอนเดิน ตอนยืนก็พอครับ ไม่จำเป็นต้องใส่ตลอดเวลา ตอนนอนก็ถอดครับ
การใส่เกราะรัดและประคองขา และเข่าแบบนี้ ยังสามารถเอาไปใช้ในผู้ป่วย อายุมากเข่าเสื่อมที่รูปร่างเข่าโก่ง หรือกางผิดปกติ ที่ไม่อยากผ่าตัดข้อเข่าทุกชนิด หรือ มีโรคประจำตัวที่ผ่าตัดไม่ได้ โดยสามารถช่วยประคองเข่า ลดแรงกระเทือน ลดอาการปวดเข่าลงได้ ทำให้ผู้ป่วยที่สูงอายุสามารถกลับมาเดินได้ใหม่ ข้อด้อยของวิธีนี้ คือ ค่าใช้จ่ายของอุปกรณ์จะค่อนข้างสูงครับ โดยเฉพาะกับเกราะรัด ประคองเข่าต่างประเทศที่มีวัสดุของอุปกรณ์คุณภาพสูง ไม่แข็งกระด้างมากเกินไป ออกแบบมาดี มีตัวปรับหมุนแรงดัน ให้ออกแรงดัดเข่า ขา เฉพาะตอนยืน ตอนเดิน ตอนนั่งคลายแรงดัดได้
2. การใส่เฝือกทั้งขาเพื่อสร้างแรงกด แรงดัดให้เข่ากางออก การใส่เฝือกเพื่อปรับโครงสร้างนี้ เหมาะสำหรับเด็กเล็กเท่านั้นครับ โดยเด็กยังคงสามารถเดินได้ครับ แต่ต้องหมั่นดูแลรักษาความสะอาดให้ดี เพราะบางครั้งเด็กก็จะถ่ายหนัก-เบา เลอะเฝือกได้ ซึ่งก็ต้องมีการเปลี่ยนเฝือกและพบแพทย์เป็นระยะๆ ครับ
3. การใส่รองเท้าที่ปรับโครงสร้างได้ (Body Balancing Shoe & Insole) เป็นการรักษาวิธีใหม่ โดยการทำรองเท้า หรือพื้นรองเท้าปรับโครงสร้างทั้งระนาบ มุม และความยาวของขาเฉพาะกับเด็กคนนั้น สามารถทำตั้งแต่ เด็กเริ่มหัดเดินเป็นต้นไป จนเข้าสู่วัยชรา
อาศัยหลักการตรงที่เอาน้ำหนักตัวเด็กและการเดินเป็นแรงดัดที่ข้อเข่า เป็นการกระตุ้นให้กล้ามเนื้อของขาทำงานให้เหมาะสมมากขึ้น มีความสมดุลมากขึ้น ลดและย้ายจุดแรงกระเทือนที่ผิดปกติตามตำแหน่งข้อต่างๆ (ข้อเท้า ข้อเข่า สะโพก และหลัง) ให้กลับมาที่จุดปกติให้มากที่สุด ไม่ปล่อยให้เด็กเข่าโก่ง หรือ เข่ากางมีการพัฒนาของรูปร่างที่ผิดปกติอย่างอิสระในระหว่างที่ร่างกายมีการเจริญเติบโตขึ้นจนเป็นหนุ่มสาว ทำให้รูปร่างของขา หรือ เข่าเด็กกลับมาปกติ หรือลดความผิดปกติลงมา
นอกจากนี้ การทำรองเท้าปรับโครงสร้างยังสามารถทำได้ในคนปกติ หรือนักกีฬาเพื่อทำให้โครงสร้างที่ดีอยู่แล้ว ดีขึ้นถูกต้องตามสรีระของตัวเองมากขึ้น

รูปแสดงการทำ รองเท้าปรับโครงสร้าง ในนักกีฬากอล์ฟเยาวชน

รูปแสดงการวัดแรงกดของฝ่าเท้าขณะเคลื่อนไหวและเดิน

รูปแสดงการทำรองเท้าปรับโครงสร้างในคนที่มีปัญหา เข่าเสื่อม
ข้อดีของวิธีการใส่ รองเท้าปรับโครงสร้าง (Body Balancing Shoe & Insole)
1. สามารถใช้กับเด็กทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กเล็ก เด็กโต จนกระทั่งเข้าสู่วัยรุ่น ซึ่งยังสามารถใช้ในวัยทำงาน ตลอดจนเข้าสู่วัยชรา ที่เริ่มกลับมามีเข่าโก่งใหม่จากโรคเข่าเสื่อม เรียกได้ว่า วิธีนี้สามารถใช้ได้ทุกช่วงอายุ อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยวิธีนี้ ยิ่งเร็วยิ่งดี เพราะจะลดความเสียหายจากข้อเข่าที่โก่ง หรือ กางที่กล้ามเนื้อ เอ็น และกระดูกอ่อน ก่อนที่จะทำให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะดังกล่าวถาวร
2. ปลอดภัย สะดวก ไม่รบกวนชีวิตประจำวัน เพราะการใช้พื้นรองเท้า หรือ รองเท้าปรับโครงสร้าง สามารถใช้ได้ในรองเท้าปกติทั่วไป หรือ ทำรองเท้าขึ้นทั้งชุด เมื่อใส่แล้วก็สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้เหมือนเดิม และยิ่งส่งผลดีขึ้นในการเล่นกีฬาที่เกี่ยวข้องกับการใช้เข่า ใช้ขามากๆ เพราะสามารถลดแรงกระเทือนที่ผิดปกติตามข้อต่างๆ ได้
3. มีผลช่วยปรับโครงสร้างของร่างกายส่วนอื่น ๆ ให้กลับมาสมดุลมากขึ้น เช่น ส่วนของกระดูกเชิงกรานที่เอียงไม่เท่ากัน กระดูกสันหลังที่คดตามโครงสร้างของขา หรือหัวไหล่ตกไม่เท่ากัน
4. ไม่สร้างปมด้อยให้เด็ก เพราะการใส่รองเท้าปรับโครงสร้างแบบใหม่นี้ จะไม่มีใครสังเกตเห็น ไม่เหมือนกับการใส่เฝือก หรือที่รัดเข่า ทำให้เด็กสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนกับเด็กทั่วไป โดยไม่มีข้อจำกัด
ข้อจำกัดในการรักษา ส่วนข้อที่จำกัดและเป็นข้อสำคัญมากต่อการรักษาด้วยวิธีนี้ คือ วิธีนี้ต้องอยู่ในการดูแลรักษาจากแพทย์กระดูกและข้อที่ต้องมีความเชี่ยวชาญในการปรับโครงสร้างของขา เข่า และหลัง เท่านั้นครับ อีกทั้งในเด็กที่ยังคงมีการเจริญเติบโตของร่างกายต่อเนื่อง จนเข้าสู่วัยหนุ่มสาวจะต้องมีการเปลี่ยนรองเท้า หรือพื้นรองเท้า อยู่หลายครั้งก่อนที่รูปร่างเท้า เข่า และหลัง จะหยุดการเจริญเติบโต โดยเฉพาะช่วงเด็กเล็กถึงเด็กโตที่มีอายุ 7-12 ปี เด็กจะมีการเปลี่ยนรูปร่างของโครงสร้างร่างกายมาก โดยในบางปีก็อาจจะจำเป็นต้องปรับและเปลี่ยนรองเท้า หรือพื้นรองเท้าถึงสามครั้งทีเดียวครับ
5 ขั้นตอน การทำรองเท้าปรับโครงสร้าง คือ
1. ตรวจร่างกาย ด้วยศัลยแพทย์กระดูกและข้อที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านปรับโครงสร้าง
2. X-Ray โครงสร้าง กระดูกสันหลัง สะโพก และช่วงขาทั้งหมด (Scanogram) ด้วยเครื่อง Full Digital X-Ray ที่มีโปรแกรมในการวัดค่าความยาว มุม และพื้นที่อย่างละเอียดเท่านั้น และในบางกรณี อาจจะจำเป็นต้องทำ CT สามมิติ หรือ MRI เพื่อให้ได้ข้อมูลทางโครงสร้างของร่างกายให้มากที่สุด สมบูรณ์ที่สุด
3. ประเมินข้อมูล จากสองข้อแรกโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
4. ทำแบบรองเท้า ทั้งแบบอยู่นิ่ง และขณะเดิน (Static and Dynamic Model Printing)
5. พบกับ Orthopedic Shoe Designer ในกรณีที่ต้องการทำทั้งรองเท้าขึ้นมาใหม่ทั้งอัน
เมื่อได้ข้อมูลทั้ง 5 ข้อการจัดทำรองเท้า หรือพื้นรองเท้าก็จะถูกทำตามข้อมูล5 ข้อนี้เท่านั้น และเมื่อได้รองเท้าจะมีการตรวจสอบตาม 5 ข้อนี้อีกครั้งหนึ่งครับ ว่าถูกต้องตามข้อมูลเฉพาะของเด็กคนนั้นหรือไม่ ก่อนจะส่งมอบให้ได้ใช้งานก็ใช้เวลา 2-4 สัปดาห์
หลังจากนั้น จะมีการนัดตรวจซ้ำเป็นระยะๆ ว่า การรักษาด้วยวิธีนี้ได้ผลมากน้อยเพียงใด ในเด็กเล็กจะมีการตรวจทุก 6 เดือน
สุดท้ายถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็จำเป็นต้องมีการผ่าตัดดัดเข่าให้ตรงขึ้นครับ มีการผ่าตัดหลายวิธี ทั้งทำตอนที่เป็นเด็กเล็กๆ และตอนที่เป็นเด็กโต
RELATED ARTICLES
เข่าโก่ง หรือ ขาโก่ง และ เข่ากาง หรือ ขากาง ในเด็ก ตอนที่ 1
เข่าโก่ง หรือ ขาโก่ง และ เข่ากาง หรือ ขากาง ในเด็ก ตอนที่ 2
การผ่าตัด ดัดเข่าด้วยเทคนิคใหม่ด้วยการใช้เข่าเดิม MHTO